เผยแพร่ |
---|
ราวกับสวนนี้มีชีวิตและเฝ้าคอยเวลาของตัวเองอยู่ หลังจากผ่านกาลไปช่วงหนึ่งทายาทรุ่นต่อมาในตระกูลทรีเมน คือ ทิม สมิธ และจอห์น วิลลิส ก็หวนคืนมากอบกู้มรดกตกทอดของตระกูลไว้ได้ และพวกเขาได้ค้นพบ “สวนที่หายไป” ซุกซ่อนอย่างเงียบเชียบอยู่ท่ามกลางซากผุพังของต้นไม้และเถาแบล็กเบอร์รี่ เธอคือเทพธิดา…
เธอคือเทพธิดา…
ทอดกายอยู่บนผืนหญ้า
ในนิทรารมณ์อันแสนสุข
อ้อมแขนของเธอกอดรัดผืนดินเอาไว้แนบอก
เทพธิดาผู้งดงามนี้ ทอดกายผ่อนคลายแนบชิดผืนธรณี
รอบตัวเขียวชอุ่มด้วยแมกไม้ใหญ่น้อย
เธอมีต้นไม้ใบบังเป็นบ้าน
มีนก หนู งู แมลง ส่ำสัตว์เป็นเพื่อน
เห่กล่อมความหลับใหลด้วยเสียงเพลงแห่งสายลม
ค่ำคืน…ดวงดาวใหญ่น้อยคอยเล่านิทานผีพุ่งไต้
จันทร์เรืองฉายรัศมี บอกรักตลอดราตรี มิเคยพร่ำบ่น
ทุกทิวา สุริยะเคลื่อนบาทลอยเลื่อน เตือนให้ลืมตาด้วยแดดอุ่น
แต่ธิดาเทพก็มิเคยฟื้นตื่นจากการหลับใหล
ไม่ว่าจะร้อน ฝน หนาว หรือตากหิมะ
นอนนิ่งอยู่เช่นนั้นด้วยใบหน้าพริ้มอิ่มสุข
มีแต่มวลหมู่ไม้เท่านั้นที่รู้ว่าเทพธิดาเพียงแค่หลับใหล
ทุกองคาพยพของเธอยังมีชีวิตอยู่เหนือดินอุ่น
ด้วยไลเคนเปื้อนแก้มเป็นด่างดวงมิเคยเลือนหาย
บางเวลาอาภรณ์เถาไอวี่เลื้อยก่ายคลุมกายจนมิดชิด
บางเวลาเทพธิดาก็ผลัดเครื่องทรงเป็นผืนมอสในพรำฝน
เส้นผมสีเขียวในบางเดือนเหี่ยวเฉาเป็นสีดอกเลาและฟางข้าว
ลมแล้งและฝนชื้นต่างผลัดกันปลุกปลอบให้เธอสุข
โอ้…เทพธิดาไพร
…
มิไกลกัน ห่างออกไปในอีกมุมป่า
ยักษาหัวโตใหญ่โผล่หน้าขึ้นมาจากผืนดิน
เส้นผมของมันตั้งฟูเป็นฝอยลู่ไปตามลม
ใบหน้าอวบอูมสีเขียวกลืนไปกับสีไพรในทั้งป่า
จมูกใหญ่ยาวโค้งงอรอดมกลิ่นมนุษย์
เจ้ายักษ์กลอกตาสีฟ้ากวาดดูผู้คนผ่านทาง
มันเกรงมนุษย์แตกตื่น จึงฝืนกายซุกซ่อนไว้ใต้ปฐพี
มีเพียงหู ตา จมูก คอยสอดแนม
มันเงี่ยหูฟังมนุษย์สนทนา สูดดมกลิ่นดอกไม้ป่า
และเฝ้ามองเทพธิดาผู้หลับใหล
รอคอย…วันฟื้นตื่นของเธอ
…
นั่นคือความรู้สึกของฉันเมื่อได้เห็นภาพและเข้าไปอ่านเรื่องราวของ The Lost Gardens of Heligan
มันเป็นสวนที่หายไป…สวนที่ครั้งหนึ่งเคยงดงามอลังการในคฤหาสน์หรูหราของขุนนางคหบดีผู้มั่งคั่งในอังกฤษ สวนแห่งนี้อยู่ที่ตำบลคอร์นวอลล์ สหราชอาณาจักร
คฤหาสน์เฮลิแกนสร้างขึ้นพร้อมกับสวนสวยตั้งแต่ปี ค.ศ. 1200 เป็นสวนต้นแบบแห่งศตวรรษที่ 19 ซึ่งถูกกล่าวขานชื่นชมมากมาย สวนแห่งนี้ผ่านความรุ่งโรจน์และตกต่ำมาพร้อมกับผู้คน กระทั่งตกไปอยู่ในมือเจ้าของใหม่ชื่อ Sampson Tremayne ในปี 1569
นับตั้งแต่ตระกูลทรีเมนเป็นผู้ครอบครองอาณาจักรแห่งนี้ สวนโอฬารก็ยิ่งขยายขอบเขตความอลังการราวกับไม่มีที่สิ้นสุด พวกเขาใช้นักจัดสวนดูแลความงามของอาณาจักรเฮลิแกนถึง 22 คน
คนในตระกูลนี้ทั้งรื้อและเพิ่มสิ่งปลูกสร้างมากมายเนรมิตสวนสนที่มีพันธุ์ไม้สนหลากหลายที่สุดเช่นเดียวกับความงามของไม้ดอกไม้ผลแปลกถิ่นที่ท้าทายภูมิอากาศอย่างยิ่ง หลังจากนั้นก็สร้างสวนอิตาลีที่งดงามสะเทือนเลื่อนลั่น
สุดท้ายสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ระเบิดขึ้นในปี 1941 ก็กวาดเอาความงามทุกสิ่งทุกอย่างไป พร้อมทั้งชีวิตคนสวนผู้เก่งกาจ 16 คน คฤหาสน์เฮลิแกนถูกใช้ทำเป็นโรงพยาบาล เสร็จศึกแล้วยังไม่ทันได้หาเงินมาฟื้นฟูบูรณะ กองทหารอเมริกันก็เข้ายึดใช้เป็นฐานที่มั่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่ออีก เมื่อสงครามโลกสงบลงจริงๆ ตัวคฤหาสน์งามก็ถูกดัดแปลงเป็นแฟลตและขายทิ้งไปในปี 1974
…
ราวกับสวนนี้มีชีวิตและเฝ้าคอยเวลาของตัวเองอยู่ หลังจากผ่านกาลไปช่วงหนึ่งทายาทรุ่นต่อมาในตระกูลทรีเมน คือ ทิม สมิธ และจอห์น วิลลิส ก็หวนคืนมากอบกู้มรดกตกทอดของตระกูลไว้ได้ และพวกเขาได้ค้นพบ ìสวนที่หายไปî ซุกซ่อนอย่างเงียบเชียบอยู่ท่ามกลางซากผุพังของต้นไม้และเถาแบล็กเบอร์รี่
ทั้งคู่ตัดสินใจฟื้นฟูชีวิตให้สวนอีกครั้ง นั่นคือที่มาของชื่อ The Lost Gardens of Heligan ยุคปัจจุบันที่กลายเป็นข่าวใหญ่มากในหมู่ชาวอังกฤษและแปรมาเป็นซีรีส์ดัง ทางบีบีซี. ในปี 1996
ประติมากรรมเอก 2 ชิ้นนี้เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับขนาดและเรื่องราวอีกมากมายหลายอย่างของสวน แต่ไม่น่าเชื่อว่ามันกลับกลายมาเป็นแรงดึงดูดมหาศาลที่เรียกผู้คนเข้าไปหลงใหลสวนเฮลิแกน
คนทั่วไปรู้จักประติมากรรมนี้ในนาม Mudmaid (เทพธิดาโคลน) และ Giant Head (หัวยักษ์) มันเป็นงานในรูปแบบ earthwork installations ยุคปัจจุบันของศิลปินชื่อดังสองพี่น้อง ซู และ พีท ฮิลล์ โดยเฉพาะ ซู ฮิลล์ ผู้พี่นั้นมีชื่อเสียงอย่างยิ่งในงานศิลปะจัดวางภูมิทัศน์และศิลปะการละคร ปัจจุบันเธอเป็นผู้อำนวยการฝ่ายศิลป์ของโครงการอีเดน (The Eden Project in Cornwall)
ìThe Eden Projectî นี้ได้ชื่อว่าเป็นเรือนเพาะพันธุ์ไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อยู่ห่างจากกรุงลอนดอนราว 5 ชั่วโมง ปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจที่สุดแห่งหนึ่งของสหราชอาณาจักร และได้รับรางวัล British Travel Awards 2011
ซู ฮิลล์ เป็นผู้รับผิดชอบงานศิลปะในสวนพฤกษศาสตร์อีเดนทั้งหมด รวมทั้งการสร้างสรรค์ศิลปะจัดวางประติมากรรมแนว earth & plant sculptures คล้ายคลึงกับที่เธอสร้างสรรค์ให้สวนเฮลิแกน ในสวนอีเดนนี้ซูสร้าง ìอีฟî ตัวต้นแบบขนาดใหญ่ยักษ์ไว้ในสวนกลางแจ้งในท่านั่ง หลังจากนั้นก็เพิ่มอีฟ อีกตัวในมุมอื่น กลายเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของสวนในรูปประติมากรรมที่มีชีวิต พลิ้วไหวเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลได้ตลอดเวลา
สำหรับ สวนที่หายไป เฮลิแกนนับว่าเป็นประติมากรรมเอิร์ธเวิร์กชิ้นแรกๆ ของซู ฮิลล์ ที่สร้างชื่อเสียงให้เธออย่างมาก ซูใช้โครงสร้างไม้กรุด้วยตาข่ายและอัดดินเหนียวขึ้นเป็นรูปร่าง ผสมผสานกับซีเมนต์เป็นบางจุดเพื่อรักษาโครงร่างประติมากรรมไม่ให้เปลี่ยนรูป หลังจากนั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของธรรมชาติทำงานไปอย่างเต็มกำลัง
เธอใช้โยเกิร์ตโปะใบหน้าของเทพธิดาโคลนเพื่อกระตุ้นให้ไลเคนมาเกาะและเจริญเติบโต ส่วนต้นไม้ตามลำตัวนั้นปลูกสลับกันระหว่างเถาไอวี่และมอส
หัวยักษ์ทำจากตอไม้ตายซากโปะดินเหนียวขึ้นรูปให้เป็นหัวคน เติมตากระเบื้องเคลือบและทำหูด้วยปูน จมูกใส่โครงเหล็ก ที่เหลือนอกนั้นก็เป็นต้นไม้ที่เปลี่ยนสีและออกดอกแตกต่างกันไปตลอดปี
เป็นยักษ์และเทพธิดาที่มี ชีวิตจริงๆ
เทพธิดาโคลนของซูยังมีน้องสาวด้วย คือ The Dreaming Girl เธอสร้างไปโชว์ในงานมหกรรมดอกไม้เชลซี (The Chelsea Flower Show 2006) โชว์นี้ชื่อ Garden of Dreams เป็นรูปหญิงสาวผล็อยหลับอยู่กับตอไม้ เนื้อตัวของเธอปกคลุมด้วยหญ้าเขียวขจี ใบหน้าครึ่งหนึ่งเขียว ครึ่งหนึ่งเป็นลายโมเสกงดงามน่าชมเกินจะกล่าว
ไม่ต้องพูดถึงความโดดเด่นของสาวน้อยนักฝันผู้นี้ เธอโด่งดังที่สุดในงานและเป็นที่ชื่นชมของคนทั่วโลกในความงามลงตัวที่ประสานสอดรับกันอย่างดีทั้ง รูป สี ผิวสัมผัส และอารมณ์เรื่องราวประติมากรรม
หลังงานดอกไม้เชลซี โอลิเวีย แฮริสัน ภริยาม่ายของจอร์จ แฮริสัน ขอซื้อประติมากรรมชิ้นนี้ในทันที ทำให้ ดรีมมิ่งเกิร์ล สาวน้อยนักฝันของซู ฮิลล์ ย้ายไปอยู่นิวาสสถานหลังใหม่ในสวนแบบวิกตอเรียขนาดมหึมาของบ้านแฮริสัน ที่เฮนลีย์ออนเธมส์
แต่เทพธิดาโคลน ผู้พี่ ยังนอนสงบเสงี่ยมอยู่ในป่าสงัดของ The Lost Gardens of Heligan อย่างไม่ไหวติงอยู่เช่นเดิม
######