มั่นใจ เลือดตัวเงินตัวทอง คือ หนึ่งทางเลือก เหมือนกระชายขาว ฟ้าทะลายโจร

จากกระแสฮือฮา กรณีมหาวิทยาลัยมหิดล ออกมาเผยแพร่ข่าวสาร ความคืบหน้างานวิจัยศึกษาคุณสมบัติทางยาจาก เลือดตัวเงินตัวทอง ที่ล่าสุดพบว่า สามารถยับยั้งเซลล์มะเร็ง และแบคทีเรียบางชนิด ฉะนั้น จะมีการต่อยอดงานวิจัยไปในไวรัสก่อโรคอุบัติใหม่ รวมทั้ง โควิด-19 ด้วย ซึ่งหากบรรลุผลตามเป้าหมาย จะกลายเป็นรายแรกของโลก นั้น

รศ.ดร.น.สพ.จิตรกมล ธนศักดิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาเวชศาสตร์คลินิกและการสาธารณสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้สัมภาษณ์ เส้นทางเศรษฐีออนไลน์ เมื่อวันที่ 28 พ.ค. ว่า งานวิจัยดังกล่าว ตัวเขาเอง เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ โดยจุดเริ่ม อาจต้องย้อนไปเมื่อราว 6 ปีก่อน มีโอกาส ได้รักษาอาการป่วย ตัวเงินตัวทอง ตัวที่อยู่ใน มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา แต่ช่วงเวลานั้นไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ที่จะนำไปอ้างอิงในการรักษาอาการป่วยของตัวเงินตัวทองได้เลย

เขาเลยต้องศึกษาระบบภูมิคุ้มกันตามปกติของตัวเงินตัวทอง โดยเจาะเลือดมาศึกษาเซลล์ ซึ่งส่วนที่เหลืออยู่จะเป็นน้ำเลือด และ ซีรั่ม ประกอบกับช่วงเวลานั้น ประเทศไทย มีหัวข้อสำคัญ เกี่ยวกับเชื้อดื้อยา เลยเกิดความคิดว่า โปรตีนจากเลือดตัวเงินตัวทอง น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ในการนำมาสกัดเป็นยาปฏิชีวนะได้ และนั่นคือ โจทย์แรก ในการนำเลือดตัวเงินตัวทอง มาวิจัยในเรื่องของการยับยั้งแบคทีเรีย

รศ.ดร.น.สพ.จิตรกมล บอกต่อว่า ทำการทดลองเรื่องนี้ มาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งราว 2 ปีที่แล้ว ตอนโควิดระบาด ได้ทุนจากทางมหาวิทยาลัยมหิดลมาให้ทำการศึกษาคุณสมบัติทางยาของเลือดตัวเงินตัวทองแบบจริงจัง ก็ทำมาเรื่อยๆ กระทั่งล่าสุดมีข่าวดีในเรื่องของการยับยั้งแบคทีเรีย กับ เซลล์มะเร็ง และเมื่อราวต้นปีที่ผ่านมา ได้รับทุนสนันสนุนจากสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. มาเพิ่มเติม ให้ทำการศึกษาต่อยอด ในเรื่องของไวรัส ที่เกี่ยวข้องกับโรคอุบัติใหม่ รวมทั้งโคโรนาไวรัส ด้วย

อ่านข่าวเกี่ยวข้อง : เลือด ตัวเงินตัวทอง มีคุณสมบัติทางยา ม.มหิดล วิจัยจริงจัง หวังพิชิตโรคอุบัติใหม่

“ในเรื่องของไวรัสโรคระบาดอุบัติใหม่ รวมถึงโควิด-19 อยู่ในระหว่างการวิจัย ฉะนั้น ยังไม่มีข่าวดีในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม การวิจัยต่อยอดครั้งนี้ ทำบนแพตเทิร์นเดิม เหมือนตอนวิจัยกับเซลล์มะเร็งและแบคทีเรีย คงใช้เวลาไม่นานมาก อีกราว 3 เดือน น่าจะได้ข้อมูลคำตอบอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา” รศ.ดร.น.สพ.จิตรกมล กล่าว

และว่า

“คิดว่าตอนนี้ คนน่าจะไปมีความหวังกับกระชายขาว เพราะวิจัยมาถึงปลายทางแล้ว ส่วนงานวิจัยของผม เพิ่งต้นทางเอง ไม่อยากให้มองว่าออกมาเพื่อโควิด เพราะตอนเริ่มวิจัย โควิด ยังไม่มา อย่างไรก็ตาม ค่อนข้างมั่นใจว่า ผลจากการวิจัยครั้งนี้ จะสามารถพัฒนาจนกลายเป็นยาต้านไวรัสอีกตัวหนึ่ง เพราะถึงแม้โควิด จะหมดไป ต้องมีโรคอุบัติใหม่เกิดขึ้นมาอีก ถึงอย่างไรต้องมีประโยชน์ตอนท้ายอยู่ดี”

เป็นข่าวดี ที่หนทางยังอีกไกล

ถามถึงขั้นตอนทำวิจัยในลำดับต่อไป รศ.ดร.น.สพ.จิตรกมล อธิบายว่า ต้องวิจัยให้ลึกลงไปอีก จนสุดท้ายได้อะไรออกมา ต้องนำมาดัดแปลงพันธุกรรม เพื่อให้เข้าไปในร่างกายมนุษย์ แล้วจะไม่เกิดอาการหรือผลกระทบไม่พึงประสงค์

“หากจะพัฒนาผลจากงานวิจัยกระทั่งออกมาเป็นยาได้ ยังมีกระบวนการอีกเยอะมาก ซึ่งระยะเวลาของโครงการประมาณ 3 ปี ตอนทำโครงการ โลกนี้ยังไม่มีโควิด แต่ตอนนี้ โควิดมาแล้ว อาจมีปัจจัยอื่น ทำให้งานวิจัยปรับเปลี่ยนให้รวดเร็วขึ้นก็ได้ แต่ต้องไปจดสิทธิบัตรก่อนเป็นอันดับแรก แล้วลุยวิจัยกันต่อ” รศ.ดร.น.สพ.จิตรกมล บอก

หลังมีข่าวออกไป ผู้คนเหมือนจะมีความหวังใหม่ๆ ในการต่อสู้กับโควิด รศ.ดร.น.สพ.จิตรกมล บอก อย่าเพิ่งไปตื่นเต้นมาก งานวิจัยครั้งนี้มีข่าวดี แต่หนทางอีกยาวไกล ตอนที่ทำวิจัย ไม่คิดว่าจะมาใช้รับมือกับโควิด      คงเหมือนกับ กระชายขาว ฟ้าทะลายโจร สมัยที่มีการวิจัยกัน ตอนนั้นก็ไม่มีโควิด แต่ตอนนี้ยังไม่มียารักษา    ก็นำออกมาใช้ ช่วยๆ กันไป

“สิ่งที่ทำอยู่นี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับยา แต่โรคที่เกิดจากไวรัส ตัวจัดการได้ เบอร์หนึ่งเลย คือ วัคซีน เข้าไปทำหน้าที่ เหมือนหน่วยรบด่านหน้า ทำให้ร่างกายรู้จักว่าผู้ร้ายคือใคร แต่ยา เป็นความหวังของคนที่ภูมิคุ้มกันไม่ทันกับไวรัส ยาจะเป็นตัวกวาดไวรัสเมื่อป่วยแล้ว ฉะนั้น สิ่งที่ควรทำตอนนี้ คือ ฉีดวัคซีน กันเถอะครับ” รศ.ดร.น.สพ.จิตรกมล ฝากทิ้งท้าย