3 เทคนิคแปลงร่างเกษตรกรไทย ให้ขายสินค้าเก่งบนตลาดออนไลน์

Farm man working in his organic lettuce garden - smart farm people in clean organic agricultural concept

3 เทคนิคแปลงร่างเกษตรกรไทย ให้ขายสินค้าเก่งบนตลาดออนไลน์

การทำการตลาดแบบเดิมของชาวนาและเกษตรกร รวมถึงผู้ประกอบการในกลุ่มสินค้าทางการเกษตรนั้นอาจใช้ไม่ได้อีกต่อไป เนื่องจากการตลาดรูปแบบเดิมนั้นเหมาะสำหรับการขายสินค้าหรือพืชผลทางการเกษตรผ่านทางพ่อค้าคนกลางเพียงอย่างเดียว และในขณะที่ปัจจุบันทั่วโลกกำลังเผชิญสถานการณ์มหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกจากโรคโควิด-19 ผู้ประกอบการทั่วโลกยังถูกบีบและร่นระยะเวลาให้เข้าสู่ระบบการตลาดดิจิตอลไปโดยอัตโนมัติ ส่งผลให้เกิดการเรียกวิกฤตการณ์นี้ว่า “COVID Disruption” วิกฤตที่ทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นจะต้องหันกลับมาปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจ การขาย การตลาดในรูปแบบใหม่ทั้งหมด หรือชีวิตวิถีใหม่ (NEW NORMAL) เพื่อปรับตัวให้สามารถยืนหยัดต่อสู้กับสถานการณ์ที่ได้รับผลกระทบ ด้วยเหตุนี้ ผู้ประกอบการและผู้บริโภคจึงถูกดึงดูดให้ก้าวเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์อย่างที่ใครก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

สถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ หรือ NEA กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้จัดโครงการสัมมนาหลักสูตร “Smart Farmer ออนไลน์สู่ตลาดโลก เพื่อให้ความรู้และเทคนิคเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือการตลาดดิจิตอลกับการขายสินค้าในกลุ่มสินค้าเกษตรกับเกษตรกรรุ่นใหม่ให้ประสบความสำเร็จ โดยหนึ่งในวิทยากร คือ “คุณโซอี้ หรือ ภญ.โสภา พิมพ์สิริพานิชย์” ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในแวด วงของผู้ประกอบการธุรกิจและเอสเอ็มอีของไทย เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดออนไลน์และเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จทั้งการสร้างแบรนด์ธุรกิจ Zoe Scarf ผ้าพันคอที่ขายดีทั้งในไทยและต่างประเทศ จนถึงมีชื่อเป็น LINE@ Certified Trainer คนแรกของประเทศไทย

โดยได้มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์และกลยุทธ์ในการขายสินค้าและการทำการตลาดให้กับเกษตรกรไทยรุ่นใหม่ โดยมีเทคนิคสำคัญที่ต้องจำและนำไปปรับใช้ 3 ข้อ คือ

  1. อยากรอดต้องรีบปรับ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม คนส่วนใหญ่ยังอยากออกไปทานอาหารนอกบ้าน ออกไป ทำเล็บ ทำสปา ทำผม ทำกิจกรรมต่างๆ เพราะคนยังต้องการการเข้าสังคมอยู่ ดังนั้น ธุรกิจบริการยังฟื้นตัวได้ แต่ผู้ประกอบการไทยจำเป็นที่จะต้องรีบปรับตัว เพราะถ้าไม่ปรับโลกจะเป็นคนปรับเอง จะเห็นได้ว่าจากคลื่นโควิดที่กำลังถาโถมเข้ามาตอนนี้ เป็นเพียงคลื่นลูกแรกที่เกิดขึ้น แต่ในอนาคตอาจจะมีคลื่นลูกที่สอง หรือสามตามมาอีก ดังนั้น หากต้องการเป็นคนที่อยู่รอด พาธุรกิจตนเองให้รอดพ้นจากวิกฤตสถานการณ์โควิด-19 นี้ ผู้ประกอบการจะต้องปรับ เปลี่ยน เรียนรู้ ตลอดเวลา อย่าหยุดนิ่งเพียงการขายและการทำการตลาดในรูปแบบเดิมเท่านั้น แต่ยังคงต้องมองหาช่องทางการขายใหม่ๆ ให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้เพิ่มขึ้น
  2. อิทธิพลโซเชียลที่ยังทรงพลัง การสร้างคอนเทนท์และเรื่องราวที่ดีให้กับสินค้า เพื่อดึงดูดความน่าสนใจให้กับลูกค้า ดึงจุดขายของผลผลิตและผลิตภัณฑ์ออกมาให้น่าสนใจ ซึ่งหากคอนเทนต์นั้นได้รับความสนใจจากสังคม ก็จะเปลี่ยนมูลค่าของสินค้านั้นไปอย่างสิ้นเชิง ยกตัวอย่างจากข่าวในช่วงที่ผ่านมา แม่ค้าไลฟ์สดขายแตงโมกิโลกรัมละ 3 บาท ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีอยู่ในมือของตัวเอง เพียงแค่สมาร์ตโฟนหนึ่งเครื่อง หลังจากนั้นมีคนแห่ซื้อจนขายหมดและมีออร์เดอร์มากมายเพียงชั่วข้ามคืน ดังนั้นจะเห็นได้ว่า แม่ค้ามีเพียงแค่สมาร์ตโฟนเครื่องเดียว แต่สามารถพลิกวิกฤตนั้นผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ให้กลายเป็นโอกาสได้ในพริบตา ซึ่งจะเห็นได้ว่า สถานการณ์ในวันนี้อิทธิพลของโซเชียลมีเดีย ทรงพลังมาก นอกจากจะเป็นการสื่อสารอย่างไร้พรมแดนแล้ว แต่ยังเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการขายผ่านออนไลน์อีกด้วย
  3. การตลาดยุคใหม่เอาใจคนขี้เกียจ อ้างอิงถึง Lazy consumer (ตลาดของคนขี้เกียจ) จากผลการวิจัยพบว่า ปัจจุบันผู้บริโภคมีความขี้เกียจมากขึ้น เพราะมีเทคโนโลยีมาช่วย มีดิจิตอลครอบงำในชีวิตประจำวัน และตลาดคนขี้เกียจ ก็กำลังเป็นเทรนด์ที่เชื่อมโยงกับโลกออนไลน์ จนกลายเป็นกลยุทธ์ในการทำการตลาดกับคนกลุ่มนี้ สำหรับกลยุทธ์ดังกล่าวเรียกว่า “SLOTH Strategy” โดยจะแบ่งคำจำกัดความได้ดังนี้  S= Speed (รวดเร็ว) อยากถูกใจคนขี้เกียจต้องเร็ว, L = Lean (กระชับ ตัดทอน) พยายามทำทุกอย่างให้เข้าถึงง่าย, O = Enjoy (สนุกสนาน) เอาใจด้วยความสนุกและน่าสนใจ ,  T = Convenient (สะดวก สบาย) ตอบโจทย์ความต้องการให้สะดวกและสบายมากที่สุด, H = Happy (มีความสุข) มอบความสุขและแก้ไขปัญหาให้ได้ตรงจุด และเพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการหลายๆ อย่างของคนในยุคนี้  เช่น ต้องการความสะดวกสบาย ไม่มีความยุ่งยาก พร้อมเสมอเมื่อมีความต้องการ นั่นจึงเป็นการตลาดยุคใหม่ที่ความขี้เกียจจะทำให้ธุรกิจยิ่งเติบโต

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า โครง การสัมมนาหลักสูตร “Smart Farmer ออนไลน์สู่ตลาดโลก” เป็นหนึ่งในนโยบายและแผนงานสำคัญของกระทรวงพาณิชย์ ในการเร่งส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็งและเร่งสนับสนุนการส่งออกโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเกษตร โดยสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ ได้จัดโครงการดังกล่าวขึ้น เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการค้าระหว่างประเทศและการตลาดออนไลน์ในการประกอบธุรกิจการค้ายุคใหม่ให้กับเกษตรกรไทยรุ่นใหม่อย่างครบวงจร

รวมถึงส่งเสริมศักยภาพและผลักดันผู้ประกอบการกลุ่มสินค้าเกษตรกรรมที่มีศักยภาพให้ก้าวเข้าสู่การค้าออนไลน์ยุคใหม่และการค้าระหว่างประเทศ โดยประกอบด้วย หลักสูตรที่จะช่วยให้เกษตรกรไทยรุ่นใหม่มีรายได้ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว พร้อมด้วยแนวทางการค้าระหว่างประเทศและการส่งออกบนแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ อีกทั้งยังมีการเรียนรู้แนวทางจากกูรูด้านเกษตรและการค้าออนไลน์กับแนวทางการแปลงร่างให้เกษตรกรไทยผันตัวสู่ Smart Farmer ก้าวสู่ตลาดต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับการจัดสัมมนาครั้งนี้มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการจากจังหวัดต่างๆ ได้แก่ ร้อยเอ็ด นครราชสีมา สุรินทร์ บุรีรัมย์ ขอนแก่น ฯลฯ ครอบคลุมเกษตรกรจากกลุ่มสินค้าเกษตรแปรรูป (ผงข้าวชงพร้อมดื่ม ซีเรียลจากข้าว ไอศกรีมผลไม้)ก ลุ่มสินค้าข้าว (ข้าวหอมมะลิ ข้าวไรซ์เบอร์รี่ ข้าวเหนียว) กลุ่มสินค้าปศุสัตว์ (ผู้เลี้ยงสุกร ผู้เลี้ยงไก่) กลุ่มสินค้าผลไม้และผักสด (มะม่วง ผักสวนครัว) และกลุ่มสินค้าอื่นๆ (ผ้าพื้นเมืองที่ทำด้วยไหม น้ำซอส) เป็นต้น

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานในสังกัดยังเร่งรัดจัดทำมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรด้วยการสนับสนุนให้เกษตรกรและผู้ประกอบการสินค้าเกษตรเข้าไปขายในแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซชั้นนำของไทย ได้แก่ Thailandpostmart, Shopee, Lazada, JD Central, Jatujakmall, Cloudmall, The Hub Thailand และ Octorocket.asia ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินการดังกล่าวแล้ว

สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารของโครงการหรือกิจกรรมอื่นๆ ของสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA) กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้ที่ nea.ditp.go.th หรือ www.ditp.go.th หรือ www.facebook.com/nea.ditp  หรือ  สายตรง การค้าระหว่างประเทศ 1169