ทบทวนความอร่อยตามรอยพ่อไปชิมอีกครั้ง กับร้านมิ่งหลีอายุร้อยกว่าปี โดย ปิ่นโตเถาเล็ก

ขอพากลับมาที่เกาะรัตนโกสินทร์อีกครั้ง เขยิบมาทางถนนหน้าพระลาน บริเวณฝั่งตรงข้ามกับพระบรมมหาราชวังและวัดพระแก้ว เป็นที่ตั้งของ หมู่ตึกแถวหน้าพระลาน ซึ่งเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนสูง 2 ชั้นในรูปแบบสถาปัตยกรรมยุโรปนีโอคลาสสิก จำนวน 29 ห้อง เริ่มสร้างในสมัยปลายรัชกาลที่ 5 เมื่อ พ.ศ.2452 นับเป็นอาคารพาณิชย์โบราณอายุเกือบ 110 ปี

บริเวณนี้มีร้านค้า ร้านอาหาร รวมถึงที่ทำการไปรษณีย์ซึ่งปักหลักเช่าตึกทำการค้ามานานนมเน หนึ่งในนั้นคือร้านอาหารประเภท กุ๊กช็อป สไตล์จีนไหหลำ อยู่ตรงข้ามกับประตูวิมานเทเวศร์ ในห้องหัวมุม ข้างรั้วมหาวิทยาลัยศิลปากร ร้านนี้มีชื่อว่า มิ่งหลี

ร้านมิ่งหลีเก่าแก่เกือบ 110 ปีเจ้านี้ คือร้านโปรดในดวงใจของคุณชายถนัดศรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่พ่อไปเป็นอาจารย์พิเศษ สอนวิชาสื่อสารมวลชนอยู่ที่มหาวิทยาลัยศิลปากรนั้น มิ่งหลีคือสถานที่นัดพบปะสังสรรค์ของพ่อกับกลุ่มศิลปินหน้าพระลานเป็นประจำ ถึงขนาดคุณชายถนัดศรีได้รับฉายาว่าเป็นอธิการบดีวิทยาเขตมิ่งหลี

ผัดหมี่กรอบ

ซึ่งตอนนั้นปิ่นโตเถาเล็กในวัยหนุ่มน้อยก็ได้ติดตามพ่อไปนั่งกินกับเขาด้วยอยู่เสมอมา เป็นที่รู้กันดีว่าในยามแดดร่มลมตก โต๊ะด้านในสุดทางขวา (ด้านหน้าร้าน) คือโต๊ะประจำที่จัดไว้ให้คณะของพ่อ ห้ามใครอื่นแปลกปลอมเข้าไปนั่งเป็นอันขาด

พ่อเคยเขียนไว้ว่าร้านกุ๊กช็อปแห่งนี้ สืบประวัติไปได้จนถึงรัชกาลที่ 6 เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป โดยเฉพาะข้าราชการที่ทำงานในวังหลวง ตั้งแต่ยังเป็นกระทรวงคลังมหาสมบัติ ในยุคนั้นชาวจีนไหหลำได้เข้ามาประกอบอาชีพเป็นกุ๊ก ลูกมือของเชฟฝรั่งที่เข้ามารับราชการในห้องเครื่องวังหลวงและวังเจ้านายชั้นสูง จึงได้รับการถ่ายทอดฝีมือการปรุงอาหารแบบฝรั่ง ในภายหลังได้ออกมาเปิดร้านอาหารสไตล์ กุ๊กช็อป ขายซีเต๊ก ซีตู (สเต๊ก สตู) สลัดเนื้อสัน พอร์กช็อป (ซี่โครงหมูอบถั่วลันเตา) กระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ

สลัดเนื้อสัน

เมื่อราว 7 ปีที่แล้ว หมู่ตึกแถวหน้าพระลานได้รับการบูรณะครั้งใหญ่อยู่นานเป็นปี ปิ่นโตเถาเล็กนึกเป็นห่วงว่ามิ่งหลีจะกลับมาเปิดร้านอีกครั้งหรือไม่ ซึ่งหลังจากที่ปรับปรุงอาคารเสร็จไปแล้ว กว่ามิ่งหลีจะกลับมาใหม่ก็เว้นช่วงไปอีกเป็นปีเช่นกัน นับเป็นโอกาสอันดีที่ปิ่นโตเถาเล็กจะกลับมาระลึกความหลังกันอีกครั้ง หลังจากที่ผมเคยเขียนทบทวนครั้งล่าสุดไปเมื่อปี 2545 ใน หนังสือกินอร่อยตามรอยถนัดศรี

มะระผัดไข่

มิ่งหลีในยุคนี้ร่นเวลาขายอาหารเหลือแค่วันละไม่กี่ชั่วโมง โดยจะเปิดเฉพาะ วันจันทร์-วันศุกร์ ตั้งแต่ประมาณ 11 โมงครึ่งไปจนถึงบ่าย 4 โมงเย็นเท่านั้น แต่บางวันก็จะปิดเร็วมาก อย่างเช่นวันที่คณะเราไปชิมนั้น เขานำเก้าอี้มาขวางทางเข้าร้านตั้งแต่บ่าย 2 โมงครึ่ง โดยขายให้กับพวกเราเพียงโต๊ะเดียว

สภาพร้านยังคงบรรยากาศแบบดั้งเดิม โต๊ะเก้าอี้ที่นั่งกินก็เป็นเก้าอี้สมัยเก่า ส่วนบันไดที่ทอดขึ้นไปสู่ชั้นบนขั้นเล็กๆ ชันจนคอตั้งบ่านั้นก็ถูกปิดไปตั้งแต่เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว คนทำร้านรุ่นเก่ายังเหลืออยู่กัน 2-3 คน เจ๊เบญคนคุ้นเคยเหมือนญาติสนิทก็ไม่ได้ทำร้านแล้ว แต่มีหลานชาย หลานสาวมาช่วยแทน ที่ร้านบอกว่าเดี๋ยวนี้มีลูกค้าฝรั่งชาวต่างชาติมาอุดหนุนช่วงกลางวันกันเยอะ

รายการอาหารของมิ่งหลียังมีขึ้นกระดานข้างฝาไว้เช่นเดิม และเพิ่มเมนูเคลือบขนาด A4 จำนวน 1 หน้าสำหรับให้ดูที่โต๊ะ ซึ่งจำนวนเมนูนั้นลดน้อยลงเหลือประมาณ 20 เมนู มีหายไปหลายอย่าง เช่น ลิ้นวัวทอดกรอบกับสตูลิ้นวัว ของโปรดผม อีกทั้งเนื้อเค็มทอด ปลาจะละเม็ดทอดกรอบก็ไม่มีแล้ว

สตูว์ลิ้น(หมู)

ที่หายไปก็ไม่เป็นไร ยังมีเมนูประจำของปิ่นโตเถาเล็กอีกมากมายหลายสิ่ง ทั้งหมี่กรอบทอดแบบกรอบร่วนถูกใจข้าพเจ้า ไม่ใช่ชนิดเหนียวหนึบ สลัดเนื้อสัน ที่ทอดเนื้อมาชิ้นบางๆ เกรียมนอกนุ่มใน กินกับผักสลัด ผักกาดหอม หัวหอมและมะเขือเทศ ราดน้ำสลัดน้ำใสปรุงด้วยน้ำส้มสายชูกับเกลือ นอกจากสลัดเนื้อสันก็ยังมี สลัดปู อยู่เหมือนเดิม

ส่วนสตูลิ้นวัวนั้นก็เปลี่ยนเป็น สตูลิ้นหมู แทน อย่างน้อยก็ยังพอทดแทนกันได้ และก็มีตับผัดพริกกับหอมใหญ่ ตับนุ่มสด เอาน้ำผัดตับมาคลุกข้าวเข้ากันดี อีกทั้ง ไข่ห่อปู ก็ยังคงเอกลักษณ์เหมือนไข่ออมเลตนุ่มๆ หนาๆ ของฝรั่ง ห่อเนื้อปูอยู่ข้างใน

ต้มยำขาหมู

เมนูน้ำๆ ซดๆ ยังมี ต้มยำขาหมู ของโปรดผม เป็นต้มยำน้ำใสใส่มะเขือเทศ ผักชีฝรั่ง กับขาหมูหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ นอกจากนี้ ก็มีต้มยำกุ้ง ต้มยำปลา ต้มข่าไก่ และเมนูเอกลักษณ์ประจำร้าน เนื้อประเทือง ก็ยังมีอยู่ และมี หมูประเทือง เพิ่มขึ้นมาด้วย ลักษณะเป็นยำเนื้อหั่นเป็นชิ้นๆ โปะหน้าด้วยพริกขี้หนู กระเทียมซอยเป็นแว่นๆ และผักชีฝรั่ง แกล้มด้วยแตงกวากับถั่วฝักยาว ส่วนผัดผักนั้นมี มะระผัดไข่ หรือจะสั่ง หมู หรือ เนื้อผัดคะน้าน้ำมันหอย ก็เอาน้ำมาราดคลุกข้าวได้อีกด้วย

หมูและเนื้อประเทือง

ที่นี่ไม่มีจานเล็ก จานใหญ่ มีขนาดเดียวเท่านั้นเช่นเดิม ถ้ามาหลายคนเห็นว่าไม่พอกินก็สั่งหลายๆ จานเพิ่มแทน สนนราคาส่วนใหญ่จานละ 70-80 บาท ยกเว้นสลัดปู สลัดเนื้อสัน และสตูลิ้นหมูที่คิดจานละ 100 บาท

ได้กลับมาอีกครั้งก็รู้สึกดีใจ หายคิดถึง จึงอยากเชิญชวนแฟนๆ มาลองชิมร้านในตำนานร้อยกว่าปีที่มิ่งหลี มาแล้วให้ปล่อยใจทำตัวสบายๆ เพราะเขาจะทำอาหารอย่างช้าๆ ตามแบบฉบับเหมือนเก่า นั่งชมนักท่องเที่ยวที่มาแวะชมวัดวังกันอย่างล้นหลาม ร้านแบบนี้หายากยิ่งในยุคไทยแลนด์ 4.0 เลยนะจ๊ะ

ขาหมูต้มเค็ม

มิ่งหลี

โดย คุณอาภา สกุลพิชัยรัตน์

ที่ตั้ง 29-30 ถนนหน้าพระลาน ตรงข้ามประตูวิมานเทเวศร์ พระราชวัง พระนคร กรุงเทพฯ 10200
โทร 0-2221-1960

เปิดบริการ จันทร์-ศุกร์ 11.00-16.00 น. บางวันปิดเร็วกว่านี้อีก

หยุด เสาร์-อาทิตย์

แนะนำ หมี่กรอบ สลัดเนื้อสัน สตูลิ้นหมู ไข่ห่อปู ต้มยำขาหมู ตับหมูผัดพริก เนื้อ (และหมู) ผัดน้ำมันหอย เนื้อ (และหมู) ประเทือง มะระผัดไข่

ตับหมูผัดพริก