อาชีพเสริมของคนแก่

คนแก่ที่ผมจะเขียนถึงฉบับนี้ไม่ใช่ใครอื่น คนคนนั้นคือผมเอง

วันนี้ผมขออนุญาตผู้อ่านและไม่ได้อ่านเขียนถึงเรื่องตัวเองสักครั้ง คงไม่ว่ากันนะครับ

เดิมที ผมมีอาชีพหลักเป็นพนักงานของการประปานครหลวง แล้วเขียนหนังสือเป็นอาชีพเสริม

พอต้องถูกปลดออกจากการประปานครหลวงเหตุเพราะสูงวัย ผมก็ยึดอาชีพด้วยการเขียนหนังสืออย่างเดียว มีรายได้พอเลี้ยงตัวเองได้ เพราะมีงานให้เขียนในนิตยสารหลายฉบับ

ขณะเขียนหนังสือ ผมก็ได้วาดรูปไปด้วย โดยจุดประสงค์ก็เพื่อจะได้พักเหนื่อย พักสายตาจากต้องเขียนหนังสือนานๆ

แต่ที่สำคัญ การวาดรูปเป็นงานที่ผมชอบด้วย ทุกครั้งที่ได้จับแปรงวาดรูปเล่นสนุกกับสี ผมจะมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

ผมชอบวาดรูปแบบที่เขาเรียกว่าแบบนามธรรม คือวาดเสร็จแล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นรูปอะไรทำนองนั้นแหละ

ภาพวาดอย่างนี้ ถ้าเป็นเพลงคงจะอยู่ในประเภทเพลงคลาสสิก

ภาพแบบนามธรรมก็เช่นเดียวกันกับเพลงคลาสสิกคือดูไม่รู้เรื่อง แต่จะให้ความรู้สึก ภาพที่ให้ความรู้สึกแก่ผู้ดูมากเท่าไร ถือว่าภาพนั้นเป็นภาพที่ดี

การเขียนภาพแบบนามธรรมจึงสนุกและสบายเพราะไม่มีรูปแบบตายตัว เช่น เขียนต้นไม้ ไม่ต้องให้เหมือนต้นไม้ก็ได้ หรือถ้าเขียนดอกไม้ ก็เป็นดอกไม้ที่ผู้วาดคิดขึ้นเองเพราะไม่มีตามธรรมชาติ

ผมมีความสุขกับการวาดรูป ยิ่งระยะหลังๆ มีงานเขียนหนังสือน้อยลงเพราะนิตยสารพากันปิดตัว อย่างที่รู้ๆ กันอยู่จึงทำให้ผมมีเวลาวาดรูปมากขึ้น

เมื่อวาดรูปได้จำนวนหนึ่ง ผมก็อยากอวด จึงได้นำผลงานจัดนิทรรศการ

ตั้งแต่เริ่มทำงานวาดรูป ผมได้นำผลงานแสดงเดี่ยวมาแล้วถึง 5 ครั้ง

ครั้งล่าสุดที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย และจะแสดงอีกครั้งเป็นครั้งที่ 6 ที่ร้านอาหาร Bottoms Up ตั้งอยู่ที่ซอยทองหล่อ โดยใช้เวลานานถึง 55 วัน คือตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน ปีนี้ ไปจนถึง 15 มกราคม ปีหน้า

ผลงานที่ผมนำไปแสดงครั้งนี้มีจำนวน 60 ชิ้น ส่วนใหญ่เป็นภาพขนาด 50 คูณ 60 เซนติเมตร

งานทุกชิ้นวาดด้วยสีอะครีลิกบนผ้าใบ ก็ไม่ทราบว่า ผลที่จะได้รับเป็นเช่นไร เพราะขณะเขียนต้นฉบับอยู่นี้ เพิ่งเริ่มแสดง

เหตุที่ผมได้ไปแสดงผลงานที่นี่ก็เพราะพอผมวาดรูปได้แต่ละรูป ผมจะถ่ายรูปแล้วส่งอวดทางไลน์

ปรากฏว่าพอคุณสุริศักดิ์ ถวัลย์ศักดิ์วุฒิ เจ้าของร้าน Bottoms Up ท่านเห็นผลงานของผม ท่านคงจะชอบ จึงได้ติดต่อขอผลงานของผมไปแสดงที่ร้าน

ผมไม่ขัดข้องเพราะอยากอวดฝีมืออยู่แล้ว แต่ที่คิดลึกลงไปมากกว่า คือหวังไว้เงียบๆ ว่า ผลงานของผมจะต้องขายได้บ้างแน่

ถ้าผลงานขายได้ ก็หมายความว่าผมจะได้เงิน

ถูกแล้ว ตอนเริ่มวาดรูปใหม่ๆ ก็หวังเพียงได้มีความสุขกับการได้ทำงานที่ตัวเองรัก แต่พอเข้ามาอีกขั้น ก็หนีไม่พ้นว่าต้องการเงิน เพราะการได้เงินจากการขายรูปนั้นจะช่วยให้ได้ใช้จ่ายสะดวกขึ้น

การแสดงผลงานที่ผ่านๆ มาระยะแรกๆ ผมใช้วิธีบังคับขาย แปลว่าขอให้ผู้หลักผู้ใหญ่ที่รู้จักและเพื่อนสนิทช่วยซื้อ ก็พอที่จะได้ทุนคืน แปลว่าไม่ขาดทุน

การแสดงผลงานต่อจากครั้งแรกงานของผมเริ่มขายได้ ถึงแม้ไม่มากแต่ก็น่าพอใจ สำหรับนักเขียนแก่ๆ คนหนึ่งที่หันมาวาดรูป

การแสดงผลงานครั้งล่าสุด ผมขายผลงานได้ชิ้นสูงสุดถึง 50,000 บาททีเดียว (ไม่ได้โม้)

เมื่อขายผลงานได้ ทำให้ผมมีกำลังใจ เริ่มคิดที่จะยึดทำเป็นอาชีพเสริม โดยวางแผนไว้ว่า หลังจากแสดงผลงานที่ Bottoms Up ผ่านไปแล้ว ผมจะนำผลงานไปแสดงที่อื่นๆ อีก ให้ได้ทุกปี ปีละครั้ง ซึ่งผมมั่นใจว่าจะต้องทำได้จนแก่เฒ่ากว่านี้ เพราะการวาดรูปเพียงแค่มีแรงจับแปรงก็สามารถวาดรูปได้แล้ว และเมื่อวาดจนเหนื่อยก็สามารถพักได้ หายเหนื่อยแล้วค่อยวาดต่อ

นับว่าผมโชคดีที่สามารถวาดรูปเป็นอาชีพเสริมให้กับตัวเองที่กำลังอยู่ในวัยสูงวัยได้ และคงยึดเป็นอาชีพได้ตลอดไปแน่ๆ ซึ่งนอกจากทำให้ผมมีความสุขที่ได้วาดรูปแล้ว ยังไม่เดือดร้อนด้วย ถึงแม้ไม่มีเงินบำนาญให้รับประทาน

คนสูงอายุโดยทั่วไป หลังจากปลดเกษียณแล้ว ถ้าเป็นข้าราชการได้รับบำนาญก็จะไม่เดือดร้อน

ส่วนคนที่ไม่ได้บำนาญหรือได้บำเหน็จมา เพียงไม่กี่ปีใช้เงินหมด ถ้าเป็นแบบนี้ เดือดร้อนแน่ๆ ยกเว้นคนที่โชคดีมีลูกหลานให้เงินใช้ก็รอดตัวไป

ผมจึงอยากแนะนำคนสูงอายุที่ต้องพึ่งพาตัวเองเป็นหลักว่า ไม่ควรอยู่เฉยๆ ควรหาอาชีพเสริมทำ จะเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ ปลูกต้นไม้ ทำสวน หรือจะทอดไก่ขายก็ว่ากันไป ข้อสำคัญ จะต้องชอบในงานที่ทำ หรือจะวาดรูปแบบผมก็ได้

การวาดรูปลงทุนไม่มาก ที่สำคัญ เป็นงานสากล หมายถึงว่า คนต่างชาติก็ดูภาพของเราออก และถ้าเข้าตา เขาก็จะซื้อ และงานศิลปะไม่ว่าของชาติใดก็ตาม ยิ่งอยู่นานวัน ราคายิ่งสูงขึ้น

ผู้ใดอยากมีอาชีพเสริมด้วยการวาดรูปแบบผมก็ทำได้ครับ ผมไม่เคยคิดสงวน