ผู้เขียน | ข่าวสดออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
‘หนังสือ’ นอกจากบรรจุตัวอักษรที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายแล้ว สำหรับหลายคน ‘หนังสือ’ ยังเต็มไปด้วยความทรงจำที่ควรค่าแก่การเก็บรักษา แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องความคงทนของกระดาษ ทำให้หนังสือส่วนมากมักเสียหายและชำรุดไปตามกาลเวลา และเมื่อหนังสือเสียหาย การหาซื้อหนังสือเล่มใหม่ก็ไม่อาจทดแทนความทรงจำและเรื่องราวที่มีต่อหนังสือเล่มเก่าได้
จนเมื่อมีการเกิดขึ้นของร้านซ่อมหนังสือ ที่มีอยู่ไม่กี่แห่งในประเทศไทย ทำให้หนังสือที่เสียหาย สามารถกลับคืนมาสู่สภาพเดิมได้
ผู้คนที่รักหนังสืออาจรู้จักและเรียกเขาว่า “หมอรักษาหนังสือ” แต่จากการได้พูดคุยกับ พี่กุ๊ก ภัทรพล ฉัตรชลาวิไล เจ้าของร้านซ่อมหนังสือ Book Clinic การนิยามให้เขาเป็น “นักรักษาความทรงจำ” ก็คงไม่เกินเลยจากความจริงเท่าใดนัก
หลังเสร็จสิ้น การปรับปรุงบ้านขนานใหญ่ พี่กุ๊ก ยินดีเปิดโฮมออฟฟิศ ให้ข่าวสดออนไลน์ ได้พูดคุยบางแง่มุมของคนซ่อมหนังสือ
พี่กุ๊ก เริ่มเล่าว่า จุดเริ่มต้นของการทำร้านซ่อมหนังสือ มาจากได้ทำงานร้านถ่ายเอกสาร เข้าเล่มหนังสือ ตอนหลังมีลูกค้าเอาหนังสือมาให้ซ่อม เพราะชอบที่ตนเย็บหนังสือได้ดี เมื่อทำแล้วผลงานออกมาดี เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นให้ตนได้ฝึกฝนที่จะทำงานนี้ต่อไป จึงเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา และเริ่มยึดเป็นอาชีพมาตั้งแต่พ.ศ. 2542 ผ่านมาถึงตอนนี้ได้ 17 ปีแล้ว ที่ซ่อมหนังสือมา จนถึงขณะนี้ถ้าตีว่า 1 ปี สามารถซ่อมหนังสือได้ 1,000 เล่ม ตีเป็นตัวเลขกลมๆเท่ากับว่าซ่อมหนังสือมาแล้ว 17,000 เล่ม หรืออาจจะมากกว่านั้น โดยหนังสือเก่าที่สุดที่เคยซ่อมมานั้น ในสมัย ค.ศ.1732 เป็นหนังสือของฝรั่ง ที่คนไทยนำมาให้ซ่อม ซึ่งในแง่ของคนเป็นช่างถ้าเราซ่อมหนังสือที่เก่าได้ก็เหมือนกับได้พัฒนาฝีมือ
ส่วนวิธีการเรียนรู้ในการซ่อมหนังสือนั้น พี่กุ๊ก บอกว่า เริ่มจากตำราไม่กี่เล่มที่บรรณารักษ์ใช้ซ่อมหนังสือ ตนนำไปถ่ายเอกสารมาจากหอสมุดแห่งชาติเพื่อศึกษาตัวตนเอง รวมทั้งไปยืนดูการเย็บวิทยานิพนธ์ตามร้านต่างๆ จนคิดว่าน่าจะทำได้ จึงฝึกฝนมาเรื่อยๆ เริ่มจากเย็บหนังสือหายร้อยเล่ม รวมกับหาความรู้ และหาวัสดุมาทำ เพราะช่วงนั้นการหาวัสดุเป็นเรื่องยาก ทำจนชำนาญ ยอมรับว่าแรกๆที่เริ่มทำอาชีพนี้ ในแง่ของรายได้ถือว่าอยู่ยาก จนท้อเหมือนกัน และคิดว่าจะเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่น แต่พอเข้าปีที่ 2 แล้ว รายได้เริ่มดีขึ้นจนมา 4-5 ปีก็ดีขึ้น และหลังจากนั้นรู้สึกว่ามั่นคง รายได้เสถียรขึ้น ในโลกมีหนังสือจำนวนมากที่จะให้เราซ่อม ขอให้เราทำมันแบบมีฝีมือ ก็อยู่ได้สบาย อย่างตอนนี้ปีหนึ่งก็ได้ 4-5 แสนบาท แต่หากปีไหนมีงานเยอะมากๆ รายได้ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ส่วนลูกค้าก็มีหลายกลุ่มทั้งองค์กร ห้องสมุด และบุคคลธรรมดาที่รักหนังสือ
แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป และสื่อกระดาษกำลังเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีออนไลน์ แตกต่างจากยุคเริ่มต้นที่สื่อกระดาษกำลังเฟื่องฟู แต่งานซ่อมหนังสือของพี่กุ๊ก ก็ไม่ได้รับผลกระทบ เจ้าของร้านซ่อมหนังสือ Book Clinic บอกว่า จริงๆแล้วงานซ่อมหนังสือไม่ได้รับผลกระทบเลย ถ้ากระทบจะกระทบในแง่ดี ที่ลูกค้านำหนังสือมาให้ซ่อมแล้วให้เราช่วยสแกนเป็นไฟล์พีดีเอฟ ทำเป็นอีบุ๊ก ทำให้เราได้หาความรู้เพิ่มเติม ต้องยอมรับหนังสือเมื่อเก่าคนส่วนหนึ่งก็เลือกที่จะเก็บรักษา และก่อนเก็บก็ต้องนำมาซ่อมเพื่อให้สภาพดีที่สุด ทำให้ตนมีงานเยอะ จนเกรงใจลูกค้าเพราะว่าส่งงานช้า ทำไม่ทัน
“นอกจากเรื่องราวในหนังสือแล้ว เฉพาะตัวหนังสือมันก็มีประวัติและความทรงจำ บางทีแค่นิตยสารเล่มเดียว ยังคิดว่าเขาเอามาซ่อมทำไม แต่เมื่อรู้ปรากฎว่ามันมีเรื่องราวของเขาอยู่ในนั้น แต่ละคนจะมีความหมายอยู่ในหนังสือไม่เหมือนกัน ซึ่งนอกจากเรื่องราวในหนังสือแล้ว เรื่องราวในระหว่างที่เขาได้หนังสือมา ก็เป็นที่มาให้ต้องเก็บหนังสือเล่มนั้นไว้ มีอยู่คนหนึ่งที่อาจารย์ให้ดิกชันนารีมา 1 เล่ม ซึ่งหนังสือเล่มนั้นเปลี่ยนชีวิตให้เขากลายมาเป็นนักแปล เพราะหากเขาจะไปหาซื้อดิกชันนารี เล่มใหม่ก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากเล่มนั้น เป็นหนังสือสำคัญสำหรับเขาทำให้เขาต้องรักษาเอาไว้ เลยนำมาซ่อม จะเรียกว่าอาชีพตนเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่รักษาความหมายของสิ่งของไว้ก็ได้” พี่กุ๊ก เล่าอย่างอารมณ์ดี พร้อมบอกอีกว่า
ในเมืองไทยร้านซ่อมหนังสือมีอยู่ประมาณ 5 รายเท่านั้นที่ทำอาชีพนี้จริงจัง อย่างร้านเซ่งฮง ร้านเก่าแก่ที่ทำมานาน มีฝีมือทำหนังสือปกแข็ง และเนื่องจากอาชีพนี้เป็นอาชีพที่ทำกันในกลุ่มคนเล็กๆ ยังไม่มีคนทำมาก และคงยากที่คนจะมาทำอาชีพนี้เยอะ เพราะต้องใช้เวลาในการฝึกนาน ต้องยอมรับว่าเรื่องปากท้องนั้นสำคัญการใช้เวลาฝึกนานๆเพื่อทำอะไรสักอย่าง ก็ต้องคิดให้มาก ถือเป็นอุปสรรคที่คนจะเข้ามาทำอาชีพนี้ แต่จริงๆถ้าทำเป็นอาชีพเสริมน่าจะดีกว่า
สำหรับความฝันของนักซ่อมหนังสือนั้น เจ้าของร้านซ่อมหนังสือ Book Clinic บอกว่า พอทำงานไปแล้วถามว่ามีความฝันอะไร รู้สึกว่าอยากซ่อมหนังสือที่สำคัญๆ มีอายุหลายร้อยปี และถ้ามีโอกาสไปอยู่ในส่วนงานที่เขาซ่อมหนังสือโบราณๆก็จะรู้สึกดีใจ แต่ตอนนี้ยังไม่มีโอกาส คิดว่าตอนนี้ทักษะน่าจะพอได้แล้ว แต่ก็ต้องเรียนรู้ทักษะในการทำเรื่อยๆ ทั้งจากตำรา และจากอินเตอร์เน็ต จากยูทูป
นอกจากเรื่องร้านซ่อมหนังสือแล้ว พี่กุ๊ก ยังฝากถึงผู้ที่สนใจอยากลองซ่อมหนังสือว่า ใครสนใจจะเรียนรู้การซ่อมหนังสือ จะเริ่มจากยูทูปก่อนก็ได้ อย่างตนเริ่มกับตัวเองที่ค่อยๆทำไป แต่ต้องชอบในสิ่งที่ทำ อยากแนะนำว่าถ้าชอบให้ลองเอาหนังสือของเพื่อนของญาติมาทำ หมั่นฝึกฝน และค่อยๆพัฒนา และถ้าชอบก็จะมีงานให้ทำตลอด สามารถนำมาใช้เป็นอาชีพเสริมได้เลย งานฝีมือ ทุกงานถ้าฝึกไปได้เรื่อยๆ ลูกค้าจะเป็นคนจ่ายเงินค่าวัสดุให้เราเอง อย่างตนตอนนี้ก็มีงานจนทำไม่ทัน และมีแผนไว้ว่าไม่ปลายเดือน ต.ค. ก็จะเป็นปลายเดือน พ.ย. จะลองทดสอบเปิดสอนให้ผู้ที่สนใจซ่อมหนังสือ ตอนนี้พยายามปรับปรุงสถานที่ให้มันทำงานได้อยู่
อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ได้เป็นช่างซ่อมหนังสือ แต่อยากฝากถึงน้องๆคนรุ่นใหม่ว่า หากอยากหาอาชีพทำ ให้ลองคิดถึงอาชีพใหม่ๆที่ยังไม่มีใครทำ แต่มีความต้องการในตลาดอยู่มาก คิดว่าถ้าคิดได้จะทำให้ได้อาชีพเลี้ยงตัวสบายๆ เหมือนอย่างที่ตนฝึกซ่อมหนังสือ
สุดท้าย เจ้าของร้าน Book Clinic บอกว่า ถ้าใครหนังสือมีปัญหาเอาเข้ามาคุยกันก่อนได้ ส่วนราคาเริ่มต้นสำหรับคนที่จะนำมาซ่อม คือหนังสือซ่อมได้ตั้งแต่ราคา 100 บาท จึงถึงหลายร้อย ขึ้นอยู่กับว่าต้องการให้ซ่อมขนาดไหน ต้องการเพียงแค่เอาให้อยู่ใช้งานเปิดอ่านได้ หรือ ต้องการให้เลียนแบบตัวอย่างของหนังสือเล่มเดิม ถ้าเอามาซ่อมก็มาตกลงพูดคุยกันก่อน สนใจสามารถเดินทางมาได้ที่บ้านเลขที่ 36/309 หมู่บ้านจันทิมาธานี ซอย 4 ถนนกาญจนาภิเษก ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี และสถานที่ทำงาน เลขที่ 6/58 โชคชัย 4 ซอย 22 (ข้างธนาคารกรุงไทย) ลาดพร้าว กรุงเทพฯ 10230 หรือติดต่อมาก่อนที่หมายเลขโทรศัพท์ 089-106-9201, 090-980-2715 และ 090-980-2878
หากต้องการดูข้อมูลก่อนก็สมารถติดตามได้ที่ เฟซบุ๊ก : www.facebook.com/bookclinic เว็บไซต์ : book-bookclinic.blogspot.com หรือ อีเมล์ : [email protected]
มาที่ Book Clinic นอกจากได้ซ่อมหนังสือแล้ว ยังได้เก็บรักษาความทรงจำและเรื่องราวของหนังสือไว้ด้วย
ที่มา ข่าวสด