“ด่านสิงขร” ชายแดนไทยติดกับพม่า คนจบ ป.ตรี ไปค้าขายเพียบ

“ด่านสิงขร” ชายแดนไทยติดกับพม่า คนจบ ป.ตรี ไปค้าขายเพียบ

คนที่ไปเที่ยวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ส่วนใหญ่จะมุ่งเป้าไปยังทะเล เพราะประจวบฯ มีชายทะเลหลายแห่งที่สวยงาม น่าไปนั่งดูคลื่นทยอยเข้ากระทบฝั่ง โดยเฉพาะที่หัวหิน

ทว่าในปัจจุบัน มีแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่บนบกไม่น้อยที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเที่ยว เช่นที่ด่านสิงขร

ด่านสิงขร เป็นชายแดนติดต่อระหว่างไทยกับพม่า เดิมเป็นด่านค้าไม้เป็นหลัก ส่วนใหญ่จะนำไม้จากพม่าเข้าไทย เพราะพม่ายังมีป่า มีต้นไม้ให้ตัดอย่างอุดมสมบูรณ์

หลังจากพม่ามาคบกับไทย ป่าไม้ในพม่าร่อยหรอ จนในที่สุดต้องปิดป่า ให้นำเข้าไทยเฉพาะไม้ที่แปรรูปแล้วเท่านั้น

ไม้แปรรูปไม่ใช่ไม้เป็นแผ่นๆ แต่หมายถึงไม้ที่ทำเป็นเฟอร์นิเจอร์และวงกบประตูหน้าต่างเรียบร้อยแล้ว และเนื่องจากไม้จากพม่าราคาถูกกว่าไทย จึงทำให้คนไทยพากันไปซื้อมาใช้ ตลาดชายแดนแห่งนี้จึงเกิดขึ้น

ผมเคยไปซื้อเก้าอี้เอนนอนได้และโต๊ะทำด้วยไม้สักจากที่นี่มาหลายปีแล้ว ปัจจุบันก็ยังใช้อยู่

พบว่าที่ตลาดด่านสิงขรขยายใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่ได้มีสินค้าดังกล่าวเท่านั้น แต่มีร้านค้าและสินค้าเพิ่มขึ้นมาก ที่เห็นได้ชัดเป็นจำพวกหินประดับ มีทั้งพลอย หยก หินหลากสี และไม้แกะสลัก

หินที่นำมาทำเป็นเครื่องประดับมีทั้งสร้อย กำไล ต่างหู แหวน มีให้เลือกมากมายลานตา ที่นำมาแกะเป็นพระพุทธรูป เจ้าแม่กวนอิมก็มี นอกจากนี้ ยังมีกล้วยไม้ป่า สมุนไพร และของป่าอีกหลายชนิดที่ผมไม่รู้จัก

สินค้าจำพวกขนมปัง ขนมหวาน และอาหารทะเลแห้ง เช่น กุ้งแห้ง ปลาแห้ง หอยแห้ง ก็มีขายหลายร้าน

สำหรับอาหารทะเลแห้งซึ่งมีขายอยู่หลายเจ้านั้น ผมเพิ่งมารู้ตอนหลังว่าไปจากเมืองไทยนี่เอง เพราะประจวบฯ ติดกับทะเล

เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้ไปที่ตลาดชายแดนด่านสิงขรอีกครั้งกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ซึ่งต้องการพาสื่อมวลชนไปรู้จักกับแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งของประจวบฯ

ได้พบว่ามีนักท่องเที่ยวไปแวะที่ด่านสิงขรมากพอสมควร มีทั้งรถทัวร์ รถส่วนตัวไปจอดให้เห็นหลายสิบคัน

ขณะที่เราเดินผ่านร้านที่มีชื่อว่าสัมฤทธิ์ ซึ่งภายในร้านขายจำพวกหินมงคล แต่หน้าร้านขายเครื่องสำอางนั้น หญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าร้านร้องเชิญชวนให้เราชื้อแป้งพม่าที่มีชื่อว่า ทานาคา เป็นแป้งชื่อดังของพม่า

เธอไม่ได้เชิญชวนเฉยๆ แต่ยังเอาแป้งทานาคาทาหน้าให้เราคนหนึ่งด้วย เธอยืนยันว่าทาแล้วจะไม่มีสิวแล้วยังจะทำให้ใบหน้าสดใสอีกต่างหาก

“ถ้าไม่ทาเอง ซื้อไปให้ภรรยาหรือแฟนก็ได้” เธอแนะนำ

เธอพูดไทยได้ชัดมาก จนทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้ พร้อมเดาในใจว่า เธอน่าจะเป็นสาวพม่า แต่ได้มาเรียนเมืองไทย หรืออยู่เมืองไทยมานานก็ได้

ผมอยากรู้จึงถามเธอไปตรงๆ เธอหัวเราะเบาๆ เผยให้เรารู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเธอเป็นคนปราณบุรีที่ประจวบฯ นี้เอง ที่เธอต้องลงทุนใช้แป้งพม่าทาหน้าก็เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของที่นี่

เราช่วยกันอุดหนุนสินค้าของเธอทั้งแป้งและสบู่ เธอจึงมีใจเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังต่อว่า เธอชื่อ นิ่ม-วิภาภรน์ ศรีสุนนท์ เรียนจบปริญญาตรีที่ราชภัฏอยุธยา หลังจากเรียนจบมีอาชีพหลายอย่าง แต่ท้ายสุดต้องมาขายของอยู่ที่นี่โดยมีญาติชักนำมา

พอเธอได้ทำงานแบบนี้แล้วทำให้อยู่ได้สบาย จึงไม่อยากไปทำอย่างอื่น ประกอบกับอายุมากแล้วคงไม่มีใครอยากจ้างให้ทำงาน

ปัจจุบันเธอมีลูก 2 คน ตรงนี้ไม่ต้องบอกก็ได้ว่าเธอมีสามีแล้ว และทั้งๆ ที่อายุ 40 กว่าปีแล้ว แต่ที่มีคนทักว่าหน้าตายังเป็นเด็ก ก็เพราะนอกจากเธอใช้แป้งพม่า (ทานาคา) ทาหน้าเป็นประจำแล้ว ยังใช้สบู่ขมิ้น สบู่ทองคำ และสบู่นมแพะถูตัวด้วย

ฟังเธอพูดแล้วทำให้พวกเราซื้อสินค้าของเธอเพิ่มขึ้นอีก

ถึงตอนนี้ผมได้บอกกับเธอว่า อยากให้เธอพูดอะไรก็ได้ที่เป็นการเชิญชวนให้คนมาเที่ยวที่ด่านสิงขรมากๆ

เธอกล่าวขอบคุณก่อนพูดอย่างเป็นการเป็นงานว่า

“ถ้าผู้ใดต้องการซื้อเครื่องเรือนที่ทำด้วยไม้สัก ซื้อหินมงคล และซื้อเครื่องสำอางที่ทำให้ผิวพรรณดี ให้มาซื้อที่ด่านสิงขร รับรองว่าไม่ผิดหวัง แล้วราคายังถูกอีกต่างหาก”

ฟังเธอพูดแล้วเชื่อได้เลยว่าเธอเรียนจบปริญญา และเมื่อเรียนจบแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีอาชีพที่เรียนมาก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างสบายไม่เดือดร้อน