ผู้เขียน | Penny |
---|---|
เผยแพร่ |
เปิดใช้บริการแล้วสำหรับ “อุโมงค์ข้ามแยกรัชโยธิน” โดยเมื่อวันที่ 5 พย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ทำการเปิดอุโมงค์ทางลอดแยกรัชโยธิน ด้านถนนรัชดาภิเษก ให้ประชาชนได้สัญจรอย่างเป็นทางการ ซึ่งการก่อสร้างเสร็จเร็วกว่ากำหนดเดิมที่ตั้งไว้เดือนกุมภาพันธ์ 2562
การเปิดใช้อุโมงค์มีนัยสำคัญอยู่มากทีเดียว เพราะจะมีส่วนสำคัญช่วยให้การจราจรบนถนนพหลโยธิน ต่อเนื่องไปตลอดเส้นรัชดาภิเษกที่ติดขัดแสนสาหัสมานานเป็นปีๆ ทุเลาเบาบางลงเสียที
แม้ว่า เส้นทางคมนาคมขนส่งคนเส้นหลักบนถนนเส้นนี้คือ รถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-ลำลูกกา จะยังต้องรอไปจนถึงกลางปี 2563 ถึงจะแล้วเสร็จ ก็ตาม แต่การก่อสร้างอุโมงค์และสะพานข้ามแยก ก็ช่วยให้คนกรุงเทพฯ ที่อาศัยย่านนั้น หรือต้องใช้เส้นทางจราจรผ่านไปมา ได้รับความสะดวก ลดเวลาติดแหง็กอยู่บนท้องถนนไปได้ระดับหนึ่ง
นอกจากนี้ การจราจรที่สะดวกคล่องตัวขึ้น จะทำให้ทำเลค้าขายในย่านที่อยู่ใกล้เคียงกับพื้นที่นี้ ที่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาซบเซาลงมาก มีการล้มหายตายจาก เปลี่ยนหน้าผู้ค้าไปเรื่อย ไม่ว่าจะเป็น เมเจอร์รัชโยธิน บ็อกซ์สเปซ และการค้าริมทางก่อนถึงแยกเสนานิคม (พหลโยธิน 32) หรือบริเวณท็อปส์ หน้าโรงหนังโคลัมเบีย น่าจะกระเตื้องขึ้นมาได้ระดับหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็ตาม
ในห้วงเวลาที่ผ่านมา ย่านรัชโยธินเจ้าของพื้นที่เชิงพาณิชย์แปลงใหญ่ๆ อย่างเมเจอร์รัชโยธิน บ็อกซ์สเปซ (เจ้าของคือ กลุ่มทีซีซี แลนด์) รวมทั้งย่านการค้าหรือฟู้ดสตรีตย่านปากซอยเสนานิคม ได้มีการปรับเปลี่ยนพื้นที่เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้าใช้บริการ แต่ก็ไม่เป็นผล เนื่องจากการจราจรที่ติดขัด ทำให้คนหลีกเลี่ยงมาย่านนี้ ส่งผลให้การค้าซบเซาลง ขายของยากขึ้น จนถึงขั้นตัดใจเลิกกิจการ ย้ายไปย่านอื่นแทน ส่วนที่สายป่านยาวก็ปรับขนาดให้เล็กลงเพื่อประคองตัวให้แค่อยู่รอดได้ รอเวลาการก่อสร้างเสร็จสิ้นลง และรถไฟฟ้าสายสีเขียวเปิดใช้ ซึ่งเชื่อว่าความคึกคักก็จะกลับมาเหมือนเดิม
คุณสัมมา คีตสิน อดีตผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ในฐานะนักวิชาการด้านอสังหาริมทรัพย์ ระบุว่า หลังการเปิดใช้อุโมงค์รัชโยธิน เชื่อว่าการจราจรจะดีขึ้น ทำให้ประชาชนหันมาใช้เส้นทางนี้มากขึ้น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องน่าจะดีขึ้นทั้งการอยู่อาศัย และการค้า ที่กระจายตัวมาจากห้าแยกลาดพร้าว และต้องไม่ลืมว่าย่านนี้เป็นย่านอยู่อาศัยทั้งครอบครัวเก่าและครอบครัวใหม่ จากการเข้าไปเปิดพื้นที่ของผู้ประกอบการมากขึ้น ขณะเดียวกัน ในบริเวณดังกล่าวกำลังซื้อดั้งเดิมก็มีอยู่ เพราะอยู่ใกล้แหล่งงาน คืออาคารสำนักงาน และหน่วยงานราชการ ดังนั้น เมื่อเปิดให้ใช้อุโมงค์การจราจรที่เคยติดขัดกลับมาดีขึ้นย่อมส่งผลให้คนก็อยากเข้ามาในพื้นที่มากขึ้น
จากการสำรวจย่านนี้ พบว่า ปัจจุบันมีกลุ่มคนอยู่อาศัยที่สำคัญ 4 กลุ่มคือ 1. นักเรียน นักศึกษา และบุคลากรในสถานศึกษา โดยกลุ่มสำคัญที่เข้ามาเรียน ทำงาน และอยู่อาศัยในทำเลนี้ ซึ่งมีอยู่เกือบ 100,000 คน ต่อปี จากหลากหลายสถาบัน อาทิ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นต้น โดยกลุ่มนี้ มีความต้องการที่อยู่อาศัยใน 2 ลักษณะคือ อยู่อาศัยในระยะสั้นและระยะยาว
- เจ้าหน้าที่หน่วยงานราชการ เป็นกลุ่มขนาดใหญ่ที่แฝงตัวอยู่ในย่านนี้ โดยมาจากหน่วยงานภาครัฐถึง 4 หน่วยงาน มากกว่า 10 กรมกอง อาทิ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมการข้าว กรมป่าไม้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ศาลอุทธรณ์ ศาลยุติธรรม และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจอีกจำนวนมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่เหล่านี้มีเงินเดือนไม่สูงมากนัก
- พนักงานบริษัท ซึ่งมีมากกว่า 5 แห่ง เช่น ตึกเอสซีบี พาร์ค ตึกพีทีที ตึกรสา ทาวเวอร์ ตึกช้าง มาจนถึงตึกชินวัตร 3 และอาคารสำนักงานอื่นๆ อีก แม้ว่าจะไม่มากเท่าเขตใจกลางเมือง แต่ในอนาคต กลุ่มคนทำงานในเมืองมีโอกาสที่จะกระเถิบออกมาอยู่อาศัยในแนวเส้นรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายนี้ เนื่องจากถ้าเทียบกับส่วนต่อขยายอื่นๆ แล้ว ทำเลนี้อยู่ใกล้เมืองมาก โดยเดินทางเพียงต่อเดียวเท่านั้นก็สามารถเข้าเมืองได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ราคายังไม่สูงมาก
- คนที่แยกครอบครัวออกมาจากย่านการอยู่อาศัยเก่า (Old Community) เพื่อมาอยู่อาศัยเอง ซึ่งคนกลุ่มนี้มีความต้องการอิสระและความเป็นส่วนตัว จึงแยกออกจากครอบครัวเพื่อมาอยู่อาศัยเอง แต่ยังคงต้องการที่อยู่อาศัยที่ใกล้บ้านและรูปแบบการอยู่อาศัยยังคงใกล้เคียงกับอยู่บ้าน ในงบประมาณที่สมเหตุสมผล คุ้มค่าเงิน นอกจากนี้ ยังต้องการความเป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้น ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่หลากหลาย ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม จากการลงพื้นที่สำรวจผู้ค้าในย่านรัชโยธินส่วนใหญ่ระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมายอดขายลดลง และมีร้านค้าเปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะสินค้าประเภทแฟชั่น ของสวยงาม แต่สำหรับอาหารการกินแล้วยังขายได้ดีอยู่ เนื่องจากในย่านนี้เป็นแหล่งอาศัยและแหล่งทำงานของผู้คนเป็นจำนวนมาก ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ยังมีความจำเป็นต้องกินต้องใช้ ดังนั้น เมื่ออุโมงค์เปิดแล้ว เชื่อว่าสินค้าแฟชั่นอาจจะเริ่มกลับมาได้ แม้อาจจะไม่บูมเหมือนช่วงก่อนหน้า แต่หากโครงการรถไฟฟ้าแล้วเสร็จ เชื่อว่าย่านนี้จะดีขึ้นและจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง
จึงเป็นจังหวะเหมาะที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สนใจเข้าไปค้าขายย่านนี้ ฉวยโอกาสจับจองแต่เนิ่นๆ แต่ถ้าอยากจะให้ชัวร์ ไม่มั่วนิ่ม คงต้องรอให้รถไฟฟ้าสร้างเสร็จเสียก่อน
แต่สงสัยว่า ถึงวันนั้น อาจจะไม่มีที่ว่างเหลือให้จับจองก็ได้!!!