บิ๊กตู่ชมผลงาน”ศูนย์ที่นี่มีงานทำ” เผย 3 เดือนช่วยบัณฑิตว่างงานมีงานทำกว่า 25,000 คน

บิ๊กตู่ชมผลงาน”ศูนย์ที่นี่มีงานทำ” เผย 3 เดือนช่วยบัณฑิตว่างงานมีงานทำกว่า 25,000 คน

นายกฯ ‘ประยุทธ์’ ชมผลการดำเนินงานจัดตั้ง “ศูนย์ที่นี่มีงานทำ” ช่วยบัณฑิตว่างงาน มีงานทำ ที่ทำเนียบรัฐบาล แนะบัณฑิตตั้งใจทำงาน เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ขณะที่ ‘รมว.อดุลย์ฯ’ เผยเพียง 3 เดือนเศษ ช่วยให้บัณฑิตมีงานทำ 24,922 คน สร้างรายได้มากถึง 373,800,000 บาท

ศูนย์ที่นี่มีงานทำ / เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 ที่ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบปะพูดคุยพร้อมชมและรับฟังผลการดำเนินงานจัดตั้ง “ศูนย์ที่นี่มีงานทำ (Job Ready Center)” ซึ่งกระทรวงแรงงานจัดตั้งขึ้น เพื่อสนองยุทธศาสตร์การพัฒนาชาติ 20 ปี ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไปสู่ประเทศไทย 4.0 โดยมี พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน นางเพชรรัตน์ สินอวย อธิบดีกรมการจัดหางาน และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน นำเสนอผลการดำเนินงาน ทั้งนี้ นายอริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมนำเสนอผลการให้บริการจัดหางานผ่านแอปพลิเคชั่น LINE JOBS ด้วย

นายกรัฐมนตรีได้พบปะพูดคุยกับบัณฑิตที่ได้งานทำจากการเข้ารับบริการที่ศูนย์ที่นี่มีงานทำอย่างเป็นกันเอง โดยขอให้ตั้งใจทำงาน เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และขอให้มีความเจริญก้าวหน้า และได้กล่าวทิ้งท้ายว่า โครงการดีๆ ของรัฐบาลเพื่อพี่น้องประชาชนจะออกมาเรื่อยๆ จากนั้นได้ถ่ายรูปร่วมกับ รมว.แรงงานและคณะ ก่อนจะเข้าประชุม ครม.ต่อไป

พล.ต.อ. อดุลย์ กล่าวว่า กระทรวงแรงงานมีภารกิจในการส่งเสริมให้คนไทยมีงานทำทั่วหน้า ซึ่งสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ที่ได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไปสู่ประเทศไทย 4.0 แต่ในช่วงเวลาจบปีการศึกษาแต่ละครั้งจะมีบัณฑิตว่างงานเป็นจำนวนมาก โดยในช่วงเดือนพฤษภาคม 2561 พบว่า ผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีว่างงานถึง 170,900 คน แม้ว่าจำนวนผู้ว่างงานโดยรวมของประเทศล่าสุดจะมีเพียง 380,000 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 1 และเป็นประเทศที่มีอัตราการว่างงานน้อยที่สุดอันดับ 4 ของโลกก็ตาม

ดังนั้น พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะกำกับดูแลกระทรวงแรงงานจึงมอบหมายให้ เร่งแก้ไขปัญหาบัณฑิตว่างงาน กระทรวงแรงงานจึงได้มีนโยบายเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยจัดตั้ง “ศูนย์ที่นี่มีงานทำ” หรือ “Job Ready Center” ภายใต้แนวคิด “ประชารัฐร่วมใจ เพื่อคนไทยมีงานทำ” มีเป้าหมายสำคัญคือ กลุ่มผู้สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีที่ยังว่างงาน

“ศูนย์ที่นี่มีงานทำ” เปิดให้บริการพร้อมกัน 11 แห่งทั่วประเทศ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ได้แก่ กรุงเทพมหานครที่ศูนย์บริการจัดหางานเพื่อคนไทย ณ กระทรวงแรงงาน ภาคเหนือ ที่เชียงใหม่ และพิษณุโลก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่ นครราชสีมา และขอนแก่น ภาคกลาง ที่พระนครศรีอยุธยา และปราจีนบุรี ภาคตะวันออก ที่ชลบุรี และระยอง ภาคใต้ ที่สุราษฎร์ธานี และสงขลา เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมา

ทำหน้าที่ให้บริการครบวงจรในภารกิจหลัก 4 ประการคือ 1. การแนะแนวงานที่เหมาะสมกับความสามารถและความสนใจของผู้เข้ารับบริการ จัดให้มีการทดสอบความพร้อมและความถนัดทางอาชีพเบื้องต้น เช่น ทดสอบบุคลิกภาพ ภาษาอังกฤษ ความสามารถทางเชาว์ปัญญา เป็นต้น 2. การจับคู่งานระหว่างผู้ที่กำลังหางานกับนายจ้าง / สถานประกอบการทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยใช้ฐานข้อมูลของ กระทรวงแรงงานและภาคีเครือข่ายผ่านการจัดนัดพบแรงงาน (Job Fair) , ทางโทรศัพท์มือถือ Mobile Application, ตู้งาน (Job Box) และ Line Job ที่กรมการจัดหางาน ร่วมมือกับบริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทจัดหางาน สเกาท์ เอาท์ จำกัด จัดทำแอปพลิเคชั่น LINE JOBS เพื่อเพิ่มช่องทางให้ผู้สมัครงานระดับปริญญาตรีได้เข้าถึงตำแหน่งงานว่างผ่านแอปพลิเคชั่น รวมทั้งการประกอบอาชีพอิสระ และการรับงานไปทำที่บ้าน 3. การพัฒนาทักษะ โดยจัดให้มีการฝึกอบรมในหลักสูตรต่างๆ ทั้งในระยะสั้นตั้งแต่ 18-60 ชั่วโมง และระยะยาว 60 ชั่วโมงขึ้นไป

4. การให้การคุ้มครองและสวัสดิการ ตลอดจนนำเข้าสู่ระบบประกันสังคม เพื่อสร้างหลักประกันที่มั่นคงให้กับชีวิต การเร่งรัดแก้ไขปัญหาบัณฑิตว่างงาน และการดำเนินงานของ “ศูนย์ที่นี่มีงานทำ” ตั้งแต่ 19 กรกฎาคม – 30 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมาพบว่า มีผู้จบปริญญาตรี สมัครงาน ณ “ศูนย์ที่นี่มีงานทำ” จำนวน 23,798 คน ได้รับการบรรจุงาน จำนวน 17,364 คน คิดเป็นร้อยละ 72.96 ของผู้สมัครงาน ขณะที่มีผู้ติดตาม Line Jobs จำนวน 5,820,471 คน และมีผู้เข้าใช้ระบบจำนวน 699,208 คน เป็นผู้จบปริญญาตรี จำนวน 393,320 คน ผู้สมัครงาน จำนวน 36,429 คน ได้รับการบรรจุงาน จำนวน 7,558 คน คิดเป็นร้อยละ 20.75 ของผู้สมัครงาน รวมผู้สมัครงานจำนวนทั้งสิ้น 60,227 คน ได้งานทำ 24,922 คน คิดเป็นร้อยละ 41.38 ของผู้สมัครงาน โดยอาชีพ 5 อันดับแรกที่ได้งานทำคือ 1. นักการตลาด เจ้าหน้าที่การตลาด เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการขาย 2. เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ /นักประชาสัมพันธ์ 3. ผู้จัดการฝ่ายบริหาร 4. ผู้จัดการฝ่ายขาย ผู้จัดการฝ่ายส่งเสริมการขาย 5.โปรแกรมเมอร์ ขณะเดียวกัน มีผู้มาพัฒนาทักษะฝีมือ จำนวน 2,064 คน และได้รับคำแนะนำสิทธิประโยชน์ จำนวน 8,441 คน

พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการบริหารจัดการและให้บริการในรูปแบบใหม่ เพียงระยะเวลา 3 เดือนเศษ ทำให้ผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีมีงานทำ สามารถสร้างรายได้มากถึง 373,800,000 บาท และพร้อมเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวพ้นกับดักความยากจน นำพาประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป