“บิ๊กโจ๊ก” นำทีมปิด เสือป่าพลาซ่า! จับต่างด้าว-สินค้าละเมิด มูลค่ากว่า 12 ล้าน

บิ๊กโจ๊ก นำทีมปิด เสือป่าพลาซ่า จับแรงงานต่างด้าว 22 คน นายจ้างคนไทย ทลายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ยึดของกลางกว่า 60,000 ชิ้น มูลค่าความเสียหายกว่า 12 ล้านบาท เตือนพ่อค้าทั่วประเทศ

เสือป่าพลาซ่า / เมื่อเวลา 01.00 น. วันที่ 4 พ.ย. พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รรท.ผบช.สตม. พร้อมด้วย พ.ต.อ.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รรท.ผบก.สส.สตม. เจ้าหน้าที่สังกัด บช.สตม., บช.ทท., สน.พลับพลาไชย 1 และกรมศุลกากร รวมกว่า 50 นาย นำหมายค้นเข้าปิดล้อมตรวจค้นร้านจำหน่ายอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ บริเวณชั้นที่ 1-3 อาคารเสือป่าพลาซ่า ถนนเสือป่า แขวงและเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กทม.

จากการตรวจค้นสามารถจับกุมนายจ้างคนไทยได้ 1 คน และแรงงานต่างด้าว 22 คน พร้อมทั้งตรวจยึดของกลางเป็นอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือต่างๆ 60,000 ชิ้น คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 12 ล้านบาท

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทาง เทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนว่ามีแรงงานต่าวด้าวลักลอบทำงานจำหน่ายอุปกรณ์โทรศัพท์มือถืออยู่บริเวณอาคารเสือป่าพลาซ่าเป็นจำนวนมาก จึงนำกำลังเข้าตรวจสอบบริเวณชั้นที่ 6 ของอาคารเสือป่าพลาซ่า พบเป็นร้านจำหน่ายอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือแบบขายส่งและเป็นล็อกเก็บสินค้า

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ มีการวางจำหน่ายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอยู่จำนวนมาก ซึ่งขณะที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบ นางเจิ้น อี้หง สัญชาติจีน ขณะที่จำหน่ายสินค้าอยู่ในร้านไม่มีชื่อ ล็อกเลขที่ M11-M13 จากนั้นมี นายเอกวิทย์ หลักเพชร เข้ามาแสดงตัวกับเจ้าหน้าที่ว่าเป็นเจ้าของร้านดังกล่าว จึงทำการตรวจยึดสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักร, สินค้าที่ไม่แสดงฉลากและสินค้าที่ไม่ผ่านพิธีการศุลกากร

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบทั้งหมดพบสินค้าประเภทอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ อาทิ อะไหล่จอสัมผัสโทรศัพท์มือถือแบบทัชสกรีน หูฟัง ฝาหลังโทรศัพท์มือถือ เครื่องชาร์จแบตเตอรี่ยี่ห้อซัมซุงและไอโฟน รวมกันกว่า 60,000 ชิ้น คิดเป็นมูลค่าความเสียหายกว่า 12 ล้านบาท ซึ่งได้แจ้งข้อหากับนายเอกวิทย์และนางเจิ้น อี้หง 6 ข้อหา

ประกอบด้วย ข้อหา “นำของต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร, นำของที่ไม่ผ่านพิธีการศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักรหรือของลักลอบหนีศุลกากร, จำหน่ายหรือเสนอจำหน่าย หรือมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอม หรือเลียนเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักร, ขายสินค้าที่ควบคุมฉลากตามมาตรา 30 พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 โดยไม่มีฉลากหรือมีฉลากแต่ฉลากหรือการแสดงฉลากนั้นไม่ถูกต้อง, เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต, รับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต และควบคุมตัวพร้อมของกลางนำส่ง สน.พลับพลาไชย 1 ดำเนินดคีตามกฎหมาย

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่า จากการเข้าตรวจค้นทั้งหมดพบว่ามีร้านประกอบการที่กระทำความผิดในเรื่องของแรงงานต่างด้าวรวมจำนวน 18 ร้าน สามารถจับกุมนายจ้างชาวไทย 1 คน แจ้งข้อหา “รับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต” และแรงงานต่างด้าว 22 คน แบ่งเป็นสัญชาติจีน 7 คน, กัมพูชา 12 คน, เมียนมา 2 คน และไม่มีสัญชาติอีก 1 คน

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยผิดกฎหมาย” ตาม พรก.การบริหารจัดการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2561 มาตรา 8 ประกอบมาตรา 101 ซึ่งในส่วนเจ้าของร้านอีก 17 ร้าน และสอบสวนขยายผลออกหมายเรียกเพื่อเข้ามารับทราบข้อกล่าวหา อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการอย่างเข้มข้นต่อเนื่องอยู่ตลอดและฝากไปยังผู้ที่ยังดำเนินการผลิต นำเข้าหรือจำหน่ายสินค้าที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด ที่กระทำการประกาศขายทางออนไลน์ต่างๆ

หากยังดำเนินการอยู่ก็จะดำเนินการติดตามจับกุมมาดำเนินคดีและขยายถึงนายทุน ตลอดจนใช้มาตรการยึดทรัพย์ ตาม พ.ร.บ.ฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3(13) ซึ่งเป็นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา เป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงิน เพื่อให้ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้าของประเทศไทยหมดไป

 

ที่มา ข่าวสดออนไลน์