ผู้เขียน | ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
ฟาร์มเห็ดอารมณ์ดี เปิดธุรกิจเพาะเห็ดมิลกี้ ตลาดต้องการสูง เผยราคาดี กิโลกรัมละ 400 บาท
นายณัฐพงษ์ ราชเดิม เจ้าของฟาร์มเห็ดอารมณ์ดีมิลค์กี้ ต.นาท่ามเหนือ อ.เมือง จ.ตรัง ซึ่งเป็นเกษตรกรเพาะเห็ดมิลกี้สำเร็จเป็นเจ้าแรกในจังหวัดตรัง เปิดเผยว่า ขณะนี้เห็ดมิลกี้มีความต้องการของตลาดสูงมาก สามารถผลิตขายได้ในราคา 400 บาทต่อกิโลกรัม หรือขีดละ 40 บาท โดยส่งไปขายตามพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ เช่น ตัวเมืองตรัง ภูเก็ต พังงา และกรุงเทพฯ
ทั้งนี้ จุดเด่นของเห็ดชนิดนี้เป็นเห็ดดอกใหญ่สีขาว เนื้อแน่น มีใยอาหารและเส้นใยสูง และสามารถเก็บได้นานกว่าเห็ดนางฟ้า แต่ความอร่อยไม่แพ้เห็ดออรินจิ มีรสชาติคล้ายเนื้อไก่ผสมเนื้อหมึก หนึบแน่น ไม่เหนียวติดฟัน สามารถประกอบอาหารได้หลายชนิด เช่น ประเภทแกง ต้มยำ ผัด เฟรนช์ฟรายเห็ดมิลกี้ ฯลฯ และยังสามารถนำไปแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าได้
ส่วนสถานที่เพาะเห็ดจะต้องอยู่ในสภาพอากาศชื้นและอุณหภูมิค่อนข้างอบอ้าว แต่ไม่ร้อนจนเกินไป และสถานที่เพาะเห็ดต้องสะอาด เน้นวิธีการเพาะแบบธรรมชาติ ปลอดสารเคมี 100%
ซึ่งบางดอกเมื่อโตเต็มที่จะมีน้ำหนักถึง 1.5 กิโลกรัม ขนาดของดอกเห็ดจะกว้างประมาณ 10-15 นิ้ว และเคยมีขนาดดอกใหญ่กว่านี้มาก แต่ไม่เหมาะต่อการจัดส่งให้แก่ลูกค้าเพราะจะทำให้หักง่าย ทั้งนี้ การเก็บเห็ดมิลกี้จะเก็บตั้งแต่อายุประมาณ 10-12 วัน สัปดาห์หนึ่งจะเก็บได้ถึง 10 กิโลกรัม
นายณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า สำหรับเห็ดมิลกี้เป็นสายพันธุ์ที่มาจากประเทศอินเดีย อยู่ในตระกูลสายพันธุ์ตีนแรด จะแตกต่างกับสายพันธุ์ของประเทศไทย รสชาติจะอร่อยและแตกต่างกว่ามาก
ซึ่งผลจากการวิจัยพบว่าเห็ดชนิดดังกล่าวขึ้นได้ดีทางภาคใต้ของประเทศไทย เนื่องจากมีสภาพอากาศค่อนข้างชื้น จึงเหมาะแก่การเพาะเห็ดมิลกี้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ หากเกษตรกรรายใดสนใจสามารถเข้ามาเรียนรู้วิธีการเพาะเห็ดมิลกี้ได้ฟรีเป็นประจำทุกวันเสาร์ของเดือน เนื่องจากเป็นพืชทางเลือกใหม่ที่สร้างรายได้ดีกว่าการกรีดยางพารา โดยเฉพาะช่วงนี้ยังคงเกิดวิกฤตราคายางพาราตกต่ำอย่างต่อเนื่อง และบางช่วงจะต้องหยุดกรีดยางเพราะสภาพอากาศไม่อำนวย
การเพาะเห็ดมิลกี้สามารถออกดอกได้ตลอดปี ช่วยสร้างรายได้หลักทำรายได้ดีตลอดทั้งปี แม้ในช่วงฝนตกหนัก นอกจากนี้มีสรรพคุณทางยา