คาดสตาร์ทอัพไทยโตต่อเนื่อง-ยูโอบีเล็งช่วยหนุนแหล่งเงินพร้อมขยายตลาด

นายเจมส์ รามา ปัทมินทรวิภาส ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานเครือข่ายสาขาและบริการดิจิตอล ธนาคารยูโอบี (ไทย) เปิดเผยว่า สตาร์ทอัพในไทยมีการพัฒนาและขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งกลุ่มเทคโนโลยีการเงิน(ฟินเทค) และอุตสาหกรรมอื่น ๆ อาทิ การพัฒนาด้านหุ่นยนต์ (โรโบติกส์) ภาคการขนส่ง(โลจิสติกส์) ผลิตภัณฑ์และบริการด้านสุขภาพ(เฮลท์แคร์) เป็นต้น โดยการเติบโตของสตาร์อัพไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า ปี 2555 มีสตาร์ทอัพในไทย 3 ราย มีการระดมทุนได้ 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ล่าสุด ปี 2559 ณ สิ้นไตรมาส 2 มีสตาร์ทอัพเพิ่มเป็น 72 ราย และมีการระดมทุนได้ 108 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ช่วงเวลาเดียวกัน สิงคโปร์ มีสตาร์ทอัพอยู่ที่ 220 ราย และมีการระดมทุนได้กว่า 1,160 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม คาดว่าหลังจากนี้ จะมีจำนวนสตาร์ทอัพไทยเพิ่มมากขึ้นและสามารระดมทุนได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

นายเจมส์ กล่าวว่า ธนาคารยูโอบีให้ความสำคัญกับธุรกิจสตาร์ทและพร้อมจะสนับสนุนธุรกิจสตาร์ทให้สามารถเติบโตได้เต็มศักยภาพ ผ่าน 3 รูปแบบ ได้แก่ 1.การพัฒนาความสามารถของบุคลากร ด้วย ฟินแลบ โครงการเพาะบ่มสตาร์ทอัพ ระยะ 3 เดือน 2.การเข้าแหล่งเงินทุน ขณะนี้ธนาคารยูโอบี ได้ร่วมลงทุนกับบริษัทเทมาเส็กโฮลดิงส์ของรัฐบาลสิงโปร์ ผ่านบริษัทอินโนเวนแคปิตอล โดยจะให้เงินกู้ในรูปแบบการเข้าไปร่วมลงทุนในสตาร์ทอัพ และสตาร์ทอัพสามารถระดมทุนจากมวลชนผ่านอินเตอร์เน็ต(คลาวด์ฟันดิ้ง) ผ่านบริษัท อาวเออร์คลาวด์ ได้ 3. จะช่วยสตาร์ทอัพในการขยายตลาดไปยังระบบภูมิภาคผ่านเครือข่ายของธนาคารกว่า 19 ประเทศ

“ขณะนี้แบงก์ให้ความสำคัญกับฟินเทคมากขึ้น โดยผลวิจัยแมคเคนซี่ระบุว่าในระยะ 5 ปีข้างหน้าแบงก์จะเสียรายได้ให้ฟินเทคราว 30-40% ซึ่งฟินเทคเป็นกลุ่มที่พัฒนานวัตกรรมบริการขึ้นมา แต่ขณะที่แบงก์มีฐานลูกค้าจำนวนมาก ดังนั้นท้ายที่สุดแล้วทั้งแบงก์และฟินเทคไม่ใช่คู่แข่งกัน แต่ต้องมาร่วมมือกันในการพัฒนานวัตกรรมและบริการใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองลูกค้า โดยปีนี้คาดว่าจะมีฟินเทคไทยมาระดมทุนผ่านอาวเออร์คลาวด์ 2-3 ราย และมีแผนจะมีความร่วมมือกับฟินเทคพัฒนาบริการการเงินออกมาในปีหน้า”นายเจมส์กล่าว

 

ที่มา มติชน