ระดับน้ำเพิ่มแตะ 907.50 ล้าน ลบ.ม.!! เขื่อนป่าสักเตือนปชช.ท้ายเขื่อนเร่งขนของขึ้นที่สูง

วันที่ 9 ตุลาคม สถานการณ์น้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ล่าสุดเช้านี้ ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นเป็น 907.50 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนปรับเพิ่มการระบายน้ำจากอัตราเดิมวันละ 50 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มเป็นอัตราวันละ 60 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนพระรามหก เพื่อให้สมดุลกับปริมาณน้ำที่ไหลเข้า และชะลอน้ำเต็มเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์เนื่องจากปัจจุบันยังคงมีร่องมรสุมพาดผ่าน บริเวณภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบน ทำให้มีฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ลุ่มน้ำป่าสัก ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์อยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูงปัจจุบัน ณ เมื่อวานนี้ วันที่ 8 ตุลาคม 2559 ปริมาณน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ทั้งหมด 900.50 ล้าน ลบ.ม. และล่าสุดเมื่อเวลา 06.00 น. ของเช้าวันนี้ 9 ตุลาคม 2559 ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นเป็น 907.50 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งเขื่อนสามารถรองรับปริมาณน้ำได้อีกเพียง 52.50 ล้าน ลบ.ม. และคาดว่าจะมีปริมาณน้ำเต็มเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ในวันที่ 10 ตุลาคม 2559 หากไม่มีการปรับเพิ่มการระบายน้ำของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ให้สมดุลกับปริมาณน้ำที่ไหลเข้า

ดังนั้น เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำมีประสิทธิภาพสูงสุด กรมชลประทานจึงจำเป็นต้องปรับการระบายน้ำของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม 2559 คือตั้งแต่เช้าวันนี้ จากอัตราเดิมวันละ 50 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือประมาณ 580 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพิ่มเป็นอัตราวันละ 60 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนพระรามหก จากอัตราเดิมวันละ 51.84 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นอัตราวันละ 60 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือประมาณ 700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที

ทั้งนี้ เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์สามารถรองรับปริมาณน้ำที่ไหลลงเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ได้ สำหรับปริมาณน้ำที่ไหลเข้าสู่เขื่อนพระรามหกได้วางแผนบริหารจัดการน้ำ โดยส่งน้ำผ่านคลองระพีพัฒน์ และควบคุมปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนพระรามหกในอัตราวันละ 60 ล้านลูกบาศก์เมตร (700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที) คาดการณ์ว่า ณ วันที่ 12 ตุลาคม 2559 จะมีปริมาณน้ำในเขื่อนสูงสุดไม่เกินความจุที่ระดับเก็บกัก โดยกรมชลประทานจะติดตามและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับพื้นที่ท้ายเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์และเขื่อนพระรามหก โดยกรมชลประทานได้มีหนังสือแจ้งผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี สระบุรี ปทุมธานี และพระนครศรีอยุธยา และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงท้ายเขื่อนให้ทราบโดยทั่วกันแล้ว

มติชนออนไลน์