ตะลึง!! 2บริษัทนำเที่ยว เหตุเรือล่มที่ภูเก็ต แจ้งมีกำไรแค่หลักแสน

นางกุลณี อิศดิศัย อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้ความสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษจากเหตุการณ์เรือนำเที่ยวล่มที่จังหวัดภูเก็ต และมีความเป็นห่วงนักท่องเที่ยวและลูกเรือเป็นอย่างมาก จึงสั่งการให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานะของบริษัทนำเที่ยวทั้ง 2 บริษัท เบื้องต้นกรมฯ ได้ตรวจสอบสถานการณ์จดทะเบียนจัดตั้งของ 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท เลซี่ แคท ทราเวล จำกัด และ บริษัท ทีซี บลู ดรีม จำกัด มีรายละเอียด ดังนี้

บริษัท เลซี่ แคท ทราเวล จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2557 ทุนจดทะเบียน 16,000,000 บาท (สิบหกล้านบาทถ้วน) สำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่เลขที่ 89/13 หมู่ที่ 6 ตำบลวิชิต อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ประกอบกิจการนำเที่ยว รวมทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการนำเที่ยวทุกชนิด มีนางสาวอัญชลี วิทยานันทพรกุล เป็นกรรมการบริษัท ผู้ถือหุ้นประกอบด้วย นางสาวอัญชลี วิทยานันทพรกุล ถือหุ้นจำนวน 48,000 หุ้น (ร้อยละ 30) นายวิทยา ชัยธาวุฒิ ถือหุ้นจำนวน 33,600 หุ้น (ร้อยละ 21) และบริษัท เลซี่แคท อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ประเทศจีน ถือหุ้นจำนวน 48,000 หุ้น 78,400 หุ้น (ร้อยละ 49) โดยในปี 2559 มีผลประกอบการ : กำไร จำนวน 64,684.12 บาท ปี 2560 มีผลประกอบการ : กำไร จำนวน 1,280,408.70 บาท

บริษัท ทีซี บลู ดรีม จำกัด เจ้าของเรือนำเที่ยวฟีนิกซ์ จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม 2559 ทุนจดทะเบียน 4,000,000 บาท (สี่ล้านบาทถ้วน) สำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่เลขที่ 43/84 หมู่ที่ 5 ตำบลราไวย์ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ประกอบกิจการรับจองทัวร์ ห้องพัก โรงแรม นำเที่ยว มีนางสาววรลักษณ์ ฤกษ์ชัยกาล เป็นกรรมการบริษัท ผู้ถือหุ้นประกอบด้วย นางสาววรลักษณ์ ฤกษ์ชัยกาล ถือหุ้นจำนวน 39,000 หุ้น (ร้อยละ 97.50) นางยินดี ฤกษ์ชัยกาล ถือหุ้นจำนวน 500 หุ้น (ร้อยละ 1.25) และนายจักรพันธ์ ฤกษ์ชัยกาล ถือหุ้นจำนวน 500 หุ้น (ร้อยละ 1.25) โดยในปี 2559 มีผลประกอบการ : ขาดทุน จำนวน 13,114.79 บาท ปี 2560 มีผลประกอบการ : กำไร จำนวน 252,422.13 บาท

ซึ่งจากข้อมูลดังกล่าว พบว่าทั้ง 2 บริษัท จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทถูกต้องตามกฎหมาย มีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจนำเที่ยวถูกต้อง โดยขั้นตอนต่อไป กรมฯ จะลงพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น ตำรวจท่องเที่ยว กรมการท่องเที่ยว กรมสรรพากร ปปง. และหน่วยงานราชการในจังหวัดภูเก็ต ขยายผลตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกทุกกรณี รวมทั้งตรวจสอบว่าคนไทยให้ความช่วยเหลือถือหุ้นแทนชาวต่างชาติ หรือเข้าข่ายนอมินีหรือไม่ เพื่อให้คนต่างชาติสามารถเข้ามาประกอบธุรกิจโดยหลีกเลี่ยงหรือฝ่าฝืนกฎหมาย

“หากพบว่าเป็นนอมินี คนไทยถือหุ้นแทน รวมทั้งกรรมการบริษัทก็ต้องรับผิดด้วย จะมีความผิดโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000 – 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลต้องระวางโทษปรับวันละ 10,000 – 50,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่ ”

ทั้งนี้ ขอเตือนผู้ประกอบการที่ต้องให้บริการเกี่ยวข้องกับคนหมู่มาก ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยงานภาครัฐอย่างเคร่งครัด ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดจะสามารถช่วยลดความเสียหายได้เป็นอย่างมาก ดังเช่นกรณีที่เกิดขึ้น เกิดจากการไม่เชื่อฟังคำเตือนของหน่วยงานราชการและไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรุนแรงและเสียหายต่อประเทศชาติ

ที่มา มติชนออนไลน์