ตู่เมิน-โพลไม่หนุน เด้งผกก.พญาไท ปล่อยสื่อคุย”โบว์” ถึงหน้าห้องคุมขัง

“ทนายเทือก” ยื่นจดตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย มีชื่อ “หม่อมเต่า”ร่วมด้วย แกนนำปชป.อีสานยันอดีตส.ส. อยู่ครบ “บิ๊กตู่” ไม่หวั่นผลโพล 89 เปอร์เซ็นต์ ไม่สนับสนุนให้เป็นนายกฯต่อ อ้างเป็นธรรมดา มีทั้งหนุน-ค้าน ตร.ยื่นอัยการฟ้อง 9 แกนนำคนอยากเลือกตั้ง กรณีชุมนุมสกายวอล์ก ผิด ม.116-พ.ร.บ.ชุมนุม ผบก.น.1 สั่งเด้งผกก.สน. พญาไท ปมปล่อยให้สื่อนอกบุกสัมภาษณ์ “ครูโบว์” แกนนำคนอยากเลือกตั้งถึงหน้าห้องขัง

“บิ๊กตู่”ฝากกลอนร่วมกันสร้างชาติ

เมื่อวันที่ 25 พ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ตอนหนึ่งว่า ตนมีกลอนอีกบทหนึ่งมาฝากทุกคน ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ด้วย

“จะมีไหม เมื่อไร ไทยสงบ ทุกคนพบ ความสุข ตามที่หวัง อย่าทำให้ ไทยทั้งชาติ ขาดพลัง สิ้นความหวัง หมดสุข ให้ทุกคน ทั้งการเมือง บริหาร ต้องสานต่อ ให้เพียงพอ เพื่อประโยชน์ มหาศาล หากเนิ่นช้า เกินไป จะเสียการ ให้ทุกท่าน ทุกคน นั้นสุขใจ ขอพี่น้อง ผองไทย ช่วยสร้างชาติ ป่าวประกาศ ร่วมใจ ไทยเข้มแข็ง ให้ยั่งยืน ดีเลิศ เกิดเปลี่ยนแปลง คำชี้แจง บอกไป ห่วงใยจริง”

ลั่นไม่ขึ้น”แวต”เพิ่มภาระประชาชน

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการส่งต่อข้อความและภาพระบุ “ประยุทธ์ขอประชาชนจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มเป็น 8 เปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่ขึ้นประเทศจะล้มละลาย” ในช่วงนี้ว่า ข้อความและภาพดังกล่าวเป็นเรื่องเก่าเมื่อเดือนมี.ค. 2560 ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรัฐบาลได้ชี้แจงแล้วว่าไม่ได้เป็นเจตนารมณ์ของนายกฯ แต่เป็น การตีความที่คลาดเคลื่อน พร้อมทั้งยืนยันด้วยว่าไม่มีนโยบายปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม

โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า ส่วนที่ข้อกังวลว่ารัฐบาลจะปรับขึ้นภาษี 9 เปอร์เซ็นต์ รวมภาษีท้องถิ่นอีก 1 เปอร์เซ็นต์ อัตรารวมคือ 10 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.นี้ ตามที่ประกาศพระราชกฤษฎีกาในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ วันที่ 2 ต.ค. 2560 นั้น นายกฯ ระบุว่าขณะนี้ยังไม่มีแนวคิดปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามที่ระบุ ไว้ในกฎหมาย และยังคงไว้ที่อัตรา 7 เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่อยากผลักภาระให้ประชาชนเดือดร้อน จึงไม่อยากให้สังคมตื่นตระหนกและหลงเชื่อ หรือนำไปวิจารณ์จนเกิดความสับสน โดยหลักการแล้วรัฐบาลต้องขึ้นภาษีอีก 3 เปอร์เซ็นต์ เป็น 10 เปอร์เซ็นต์ เพื่อให้สอดคล้องกับพ.ร.บ.ประมวลรัษฎากร แต่รัฐบาลได้ออกกฎหมายลดอัตราภาษี โดยให้จัดเก็บจริงที่ 7 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นอัตราคงที่ต่อเนื่องกันมาทุกปี

ไม่หวั่นผลโพลรุมต้านนั่งนายกฯ

พล.ท.สรรเสริญกล่าวว่า ส่วนที่สื่อมวลชนหลายสำนักเผยแพร่ข่าวเพจเฟซบุ๊ก “ขอล้าน Like สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ” ทำโพลสอบถามประชาชนในโอกาสครบรอบ 4 ปี ว่ายังสนับสนุนนายกฯ ให้บริหารบ้านเมืองต่อหรือไม่ โดย 1 วันมีผู้ตอบคำถาม 500,000 คน แบ่งเป็นผู้สนับสนุน 11 เปอร์ เซ็นต์ และไม่สนับสนุน 89 เปอร์เซ็นต์นั้น นายกฯ รับทราบแล้ว และไม่รู้สึกหวั่นไหวต่อข้อมูลดังกล่าว เพราะที่ผ่านมามีผลโพล ออกมาจากหลายสำนัก หลายประเภท มีทั้งที่สนับสนุนและไม่สนับสนุน ถือเป็นเรื่องปกติ ยืนยันว่าจะทำหน้าที่ทุกอย่างให้ดีที่สุด จนกว่าจะมีการเลือกตั้ง จากนั้นประชาชนจะเป็น ผู้ตัดสินเอง

“สุรชัย”รอลุ้นผลกม.ลูกส.ส.

ที่รัฐสภา นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คนที่ 1 กล่าวถึงศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ ได้มาซึ่งส.ว. ไม่ขัดรัฐธรรมนูญว่า ขณะนี้ คำวินิจฉัยยังมาไม่ถึงสภา ปกติศาลรัฐธรรมนูญ จะต้องทำคำวินิจฉัยส่วนกลาง เพราะสิ่งที่ออกมานั้นเป็นเพียงคำวินิจฉัยย่อ ศาลจึงต้องทำคำวินิจฉัยส่วนกลางแล้วส่งมาให้สภาอย่างเป็นทางการ ซึ่งเราอยากให้ทุกอย่างเร็ว โรดแม็ปจะได้เดินไปตามกำหนดเวลาที่คาดหมายไว้ได้ อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ประธาน สนช.ทำหนังสือถามศาลรัฐธรรมนูญว่า ในระหว่างนี้ถ้าเรา ไม่รอคำวินิจฉัยอย่างเป็นทางการสามารถส่งร่างกฎหมายไปยังนายกฯ ได้หรือไม่

“เมื่อทุกฝ่ายช่วยกันประสานและทำงานอย่างเต็มที่ ระยะเวลาที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ จะเดินหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว อะไรที่ลัดขั้นตอนให้รวดเร็วขึ้นเราก็จะทำ และในวันที่ 30 พ.ค.นี้จะทราบผลการวินิจฉัยร่างพ.ร.บ.ว่าด้วย การเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งจะทำให้กฎหมายประกอบ รัฐธรรมนูญครบ 10 ฉบับ จากนั้นสามารถเริ่มต้นนับหนึ่งได้ทันที” นายสุรชัยกล่าว

กกต.คาดอีก 1 เดือนเริ่มสรรหาส.ว.

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมคัดเลือก ส.ว. หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. ไม่ขัดรัฐธรรมนูญว่า สำนักงาน กกต.ได้ยกร่างระเบียบรองรับแล้ว รอกฎหมายมีผลบังคับใช้ ก็จะออกระเบียบได้ทันที ซึ่งเมื่อกฎหมายส.ว.และระเบียบที่เกี่ยวข้องมีผลใช้บังคับแล้ว จะประกาศให้องค์กรวิชาชีพที่เป็นนิติบุคคลมาลงทะเบียนกับ กกต. เมื่อพระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ ก็ประกาศวันสมัครและเริ่มกระบวนการเลือกทั้งในระดับอำเภอ จังหวัด และประเทศ ก่อนส่ง 200 รายชื่อให้ คสช.คัดเลือกเหลือ 50 คน คาดว่าภายใน 1 เดือนหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ จะเห็นกระบวนการเลือกส.ว.ใหม่ได้ ยืนยัน ว่าดำเนินการทันตามกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด

โวใช้เวลาจัดเลือกตั้งไม่ถึง 150 วัน

นายศุภชัยกล่าวว่า ส่วนการกำหนดวันเลือกตั้งนั้น ตามกรอบรัฐธรรมนูญจะเริ่มต้นหลังจากกฎหมายเลือกตั้งส.ส.มีผลบังคับใช้ ให้ดำเนินการเลือกตั้งภายใน 150 วัน โดยรัฐบาลจะเป็นผู้ประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง จากนั้น กกต.จะกำหนดวันเลือกตั้ง โดยตามกฎหมายกกต.ไม่ต้องหารือใครก็ได้ แต่การหารือเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกพรรค ซึ่งการจัดการเลือกตั้งอาจใช้เวลาไม่ถึง 150 วันก็ได้

“เทือก”ส่งทนายยื่นจัดตั้งพรรค

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สำนักงานกกต. นายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง ทนายความของนาย สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการกปปส. พร้อมด้วยนายจาตุรันต์ บุญเบ็ญจรัตน์ อดีตเลขาธิการกลุ่มกรีน เข้ายื่นจดแจ้งชื่อ พรรครวมพลังประชาชาติไทย หรือรปช. พร้อม รายชื่อผู้ก่อตั้ง 32 คน ต่อกกต.

โดยในรายชื่อผู้ร่วมก่อตั้งมี นายธานี เทือกสุบรรณ น้องชายนายสุเทพ รวมอยู่ด้วย แต่ยังไม่มีชื่อนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ที่ถูกระบุก่อนหน้านี้ว่าจะเป็นหัวหน้าพรรค โดยนายเอนกยังปฏิบัติภารกิจอยู่ที่ประเทศจีน และทางกลุ่มได้ยื่นขออนุญาตคสช. จัดประชุม ผู้ก่อตั้ง รวมทั้งแถลงเปิดตัวพรรค ที่สวนลุมพินี ในวันที่ 3 มิ.ย.ด้วย

“สุเทพ”แค่สมาชิก-ไม่นั่งบริหาร

นายทวีศักดิ์กล่าวว่า แม้จะเป็นทนายความของนายสุเทพ แต่ไม่ใช่นอมินีของนายสุเทพ ยืนยันว่าไม่มีใครสั่งตนได้เพราะอายุ 75 ปี จึงไม่รับคำสั่งใคร ส่วนที่เพิ่งมายื่นจัดตั้งพรรค ก็ไม่มีนัยยะ แต่ยอมรับว่าการจัดตั้งพรรค ครั้งนี้ได้ปรึกษานายสุเทพ และในอนาคตอาจเชิญนายสุเทพ มาร่วมเป็นสมาชิกพรรค อย่างไรก็ตาม นายสุเทพจะไม่เป็นผู้บริหารพรรค โดยจะให้คำปรึกษาเท่านั้น พรรคนี้ จึงไม่ใช่พรรคของกปปส. หรือเป็นพรรคสาขาของพรรคประชาธิปัตย์ แต่จะเป็นพรรคของประชาชนอย่างแท้จริง มุ่งปฏิรูปประเทศ สืบทอดเจตนารมณ์ของมวลมหาประชาชน เพราะที่ผ่านมาพรรคการเมือง ล้วนเป็นพรรคของเจ้าของพรรค และผู้มีบารมีเท่านั้น

นายทวีศักดิ์กล่าวว่า ส่วนสัญลักษณ์ของพรรค เป็นสีธงไตรรงค์ มีสีขาวแดง น้ำเงิน วงกลมเป็นรูปคล้ายธรรมจักร สะท้อนว่าพรรค จะเชิดชูคุณธรรม จริยธรรม และมีสัญลักษณ์มือโอบอุ้มรอบวงกลมที่คล้ายธรรมจักร สื่อให้เห็นถึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมปฏิรูปในด้านต่างๆ

“หม่อมเต่า-อดีตศาลรธน.”ร่วมด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานกกต.ว่า รายชื่อผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย 32 คนนั้น พบว่า มีบุคคลที่เป็นที่รู้จักในสังคม นอกเหนือจากนายธานี เทือกสุบรรณ ยังมี ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย นายสุชาติ ชวางกูร นักร้องชื่อดัง นายสำราญ รอดเพชร อดีตแกนนำ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นายประสาร มฤคพิทักษ์ อดีตสมาชิกสภาปฎิรูปประเทศ นายอุระ หวังอ้อมกลาง อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตรองผอ.ศูนย์ประสานงานข่าวกรองแห่งชาติ นายเขตรัฐ เหล่าธรรมทัศน์ บุตรชายของนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ และ น.ส.จุฑาฑัตต เหล่าธรรมทัศน์ หลานสาวของนายเอนก ร่วมอยู่ด้วย

แจงยังไม่วางตัวหัวหน้ารปช.

นายประสาร มฤคพิทักษ์ อดีตส.ว.สรรหา หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย กล่าวว่า เรื่องหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค ให้รอความชัดเจนในการจัดประชุมผู้ก่อตั้ง รวมทั้งแถลงเปิดตัวพรรค ที่สวนลุมพินีในวันที่ 3 มิ.ย. ดังนั้นกระแสข่าวว่าคนนั้นคนนี้เป็นหัวหน้าพรรค จึงยังไม่เป็นความจริง ต้องให้ประชาชนที่เป็นสมาชิกพรรคทั่วประเทศเป็นผู้คัดสรรตามขั้นตอน มิใช่จะให้ใครคนหนึ่งมาชี้ ไม่อย่างนั้นจะไม่ต่างจากพรรคแบบเก่าที่มีผู้ครอบงำสั่งการให้ใครมีตำแหน่งใดๆ ในพรรคก็ได้

นายประสาร กล่าวว่า ส่วนที่มีข้อสังเกตว่า รปช.จะตั้งเพื่อเป็นนั่งร้านของคสช.หรือพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ในการเลือกตั้งนั้น ก็ไม่จริงเช่นกัน เป็นการวิเคราะห์คาดเดากันไปเรื่อย ทั้งที่เรายังไม่ประชุมพรรคจนได้ข้อยุติกันเลย ยืนยันว่ามติสมาชิกพรรคยิ่งใหญ่กว่าคำสั่งใครคนใดคนหนึ่ง ไม่ว่าเสนอชื่อนายกฯหรือหัวหน้าพรรค ต้องมาจากมติพรรค ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นพรรคเผด็จการ ทำให้เกิดการซื้อเสียง เข้าไปถอนทุนคืน แล้วตามมาด้วยการรัฐประหาร

ปชป.อีสานไม่ย้ายซบพรรครปช.

นายอิสสระ สมชัย อดีตส.ส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตแกนนำ กปปส. กล่าวถึงพรรครวมพลังประชาชาติไทยของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการกปปส. ที่จัดตั้งอย่างเป็นทางการว่า ตนยืนยันอยู่พรรคประชาธิปัตย์ตามเดิม และไม่เห็นนายสุเทพมาชวนไปร่วมด้วย เพราะตนเลือกจะอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ตามเดิมมากกว่า ซึ่งได้พูดกับนายสุเทพตั้งแต่ยุติการชุมนุมกปปส.แล้วว่า ขอกลับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะภาคอีสาน ตนทำพื้นที่ในนามพรรคประชาธิปัตย์มานาน การย้ายออกไปอยู่ที่อื่นคงทำให้ชาวบ้านสับสน

ผู้สื่อข่าวถามว่าอดีตส.ส.อีสานของพรรคประชาธิปัตย์ มีใครถูกทาบทามบ้าง นายอิสสระ กล่าวว่า เท่าที่ดูอดีตส.ส.ยังอยู่ครบ อาจมีอดีตผู้สมัครคนอื่นไปก็เป็นได้ ต่อข้อถามว่า จะส่งผลกระทบต่อฐานเสียงในอีสานหรือไม่ นายอิสสระกล่าวว่า อาจจะมีบ้างแต่ไม่มาก เพราะพรรคที่ตั้งใหม่ ต้องยอมรับว่าพัฒนามาจาก กปปส. เวลาไปทำกิจกรรมกับกปปส. ส่วนใหญ่ก็เป็นประชาธิปัตย์ เพราะแกนนำกปปส.ทั้ง 9 คนเป็นประชาธิปัตย์ เมื่อต่อยอดมาเป็นพรรคก็อาจเป็นไปได้ที่กระทบ แต่ไม่มาก

“อภิมงคล”เมินร่วมงาน”หม่อมเต่า”

ม.ล.อภิมงคล โสณกุล อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ยังคงยืนยันที่จะทำงานร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป ไม่คิด ที่จะไปร่วมงานการเมืองกับรปช.ที่มีบิดาคือ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ร่วมก่อตั้ง เนื่องจากยังมีความมั่นใจในอุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ ตนทำงานร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์มาตั้งแต่ปี 2547 อยู่ในช่วงเวลาที่เคยต่อสู้ร่วมกับพรรคในสถานการณ์ที่ยากลำบากมาหลายครั้ง การตัดสินใจของผู้บริหารก็ดำเนินการอย่างถูกต้อง และบริหารพรรคโดยยึดอุดมการณ์ ส่วนใครจะย้ายพรรค เป็นเรื่องปกติทางการเมืองของแต่ละคน

ปัดข่าว”วิฑูรย์”ย้ายซบ

คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ดูแลภาคอีสาน ให้สัมภาษณ์ ถึงกระแสข่าวนายวิฑูรย์ นามบุตร อดีตส.ส. อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ จะย้ายไปร่วมพรรครวมพลังประชาชาติไทยว่า ตนเช็กแล้ว ขณะนี้ยังไม่มีการแจ้งมาว่า นายวิฑูรย์ จะย้ายพรรค และยังไม่มีการติดต่อว่าจะย้ายไปอยู่กับนายสุเทพ ส่วนนายวุฒิพงษ์ นามบุตร อดีตส.ส. อุบลราชธานี ซึ่งเป็นหลานชายของนายวิฑูรย์ ยังยืนยันว่าจะอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป เพราะขนาดนายอิสสระ สมชัย ที่ตนคิดว่าสนิทกับนายสุเทพมากกว่า ก็ชัดเจนว่าอยู่กับพรรคต่อ ดังนั้นตอนนี้เรื่องดูดส.ส.ภาคอีสานของพรรคยังไม่มี เรียกว่า ภาคอีสานของประชาธิปัตย์ยังเหนียวแน่นเหมือนข้าวเหนียว

พท.เหน็บ”เทือก”พูดอย่างทำอย่าง

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงทนายความนายสุเทพ ยื่นจดแจ้งชื่อพรรครวมพลังประชาชาติไทย(รปช.) ต่อกกต.ว่า ความจริงนายสุเทพประกาศมาตลอดว่าจะไม่เล่นการเมือง ไม่รับตำแหน่งใดๆ ทางการเมือง แต่การให้ทนายความ ของตัวเองไปจดทะเบียนก่อตั้งพรรค ประชาชน ก็มีสิทธิตั้งคำถามว่าแบบนี้ถือเป็นเล่นการเมือง หรือไม่ ถือเป็นการพูดอย่างทำอย่าง การที่นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ประธานคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศด้านการเมืองในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ บอกไม่ใช่พรรคกปปส. แต่การกระทำดังกล่าวมันชัดเจนว่าใครพูดอย่างทำอย่าง ใครพูดความจริง ใครปกปิดอำพรางเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตัวเอง

เชื่อกระทบปชป.มากกว่า

นายอนุสรณ์กล่าวอีกว่า การตั้งพรรคลงสู้เลือกตั้งตามกติกาถือเป็นการต่อสู้ตามระบอบประชาธิปไตย ประชาชนจะได้มีทางเลือกมากขึ้น แต่การทำงานการเมืองยุคนี้ควรเปิดเผย โปร่งใส ตรงไปตรงมา ตรวจสอบได้ ตั้งพรรค ก็ยอมรับไปเลยว่าตั้งเป็นพรรคกปปส. ไม่เห็น จะต้องวิตกกังวลหรือรังเกียจมวลชนหรือแนวทางของตัวเอง การตั้งพรรคของนาย สุเทพไม่กระทบกับพรรคเพื่อไทย แต่อาจกระทบกับพรรคประชาธิปัตย์มากกว่า เพราะฐานคะแนนของกปปส.กับพรรคประชาธิปัตย์เป็นฐานเดียวกัน ขอเพียงว่าตกลงกันให้ชัดและประกาศให้ประชาชนมั่นใจว่าการเลือกตั้ง ครั้งหน้าจะให้ใครรับบทบอยคอตการเลือกตั้ง แล้วจะชัตดาวน์ประเทศก่อจลาจลล้มและ ขัดขวางการเลือกตั้งอีกหรือไม่ ถ้าประชาชนขอได้ก็ขออย่าชัตดาวน์ประเทศอีกเลย เพราะประเทศเสียหายและบอบช้ำมามากแล้ว

เย้ย”เทือก”ถูกล้อเหมือน”บิ๊กตู่”

นายชัยเกษม นิติสิริ อดีตรมว.ยุติธรรม แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงทนายความนายสุเทพยื่นจดทะเบียนจัดตั้งพรรคว่า นาย สุเทพบอกว่าจะไม่ลงเล่นการเมือง เพียงแต่จะเป็นเบื้องหลังที่ช่วยสนับสนุน วันนี้หลายคนก็ล้อเลียนนายสุเทพเหมือนที่ล้อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ว่าพูดกลับไปกลับมา ก็อย่า ไปถือสานายสุเทพเลย เพราะวันนี้ใครฟังเขาก็คงไม่เชื่อแล้ว แต่ถือว่าเป็นสิทธิที่จะดำเนินการจัดตั้งพรรคการเมือง เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิทธิที่ทำได้ตามรัฐธรรมนูญ

ลุ้นศาลฎีการับฟ้องคสช.คดีกบฏ

นายอานนท์ นำภา ทนายความอาสาศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เปิดเผยว่า ในวันที่ 22 มิ.ย. เวลา 09.30 น. ศาลฎีกามีหมายนัดฟังคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.1805/2558 และคดีหมายเลขแดงที่ 1760/2558 ที่โจทก์ พลเมืองโต้กลับรวม 15 คน ฟ้องจำเลย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช.กับพวกรวม 5 คน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 ฐานกบฏ ซึ่งพวกตนจะไปฟังคำพิพากษาศาลฎีกาด้วยตนเอง ส่วนทางฝั่งพล.อ.ประยุทธ์ ไม่จำเป็นต้องไป

นายอานนท์กล่าวว่า ผลที่ออกมาจะมีเพียง 2 หน้าคือ 1.ศาลฎีกายืนตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่รับฟ้อง เนื่องจากคณะรัฐประหาร ยึดอำนาจแล้วนิรโทษกรรมตนเองไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว 2.ต้องมีการพิจารณาคดีก่อน ซึ่งจะทำให้ต้องมีการสืบพยานและหลักฐานต่อไป ตนไม่ทราบว่าจะออกหน้าไหน แต่อยาก ให้มีการวางบรรทัดฐานไว้ต่อไปว่า คณะรัฐประหารเมื่อยึดอำนาจแล้วนิรโทษกรรมตนเองจะต้องมีความผิดหรือไม่ หรือต้องมีการพิจารณาคดีก่อน

แกนนำอยากเลือกตั้งโดนคดีอีก

ที่สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารกรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง 63 พนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ได้นำสำนวนพยานหลักฐาน พร้อมความเห็นสมควรฟ้อง แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง MBK39 จากการเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย ที่จัดกิจกรรมรวมพลประชาชนคนอยากเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา บริเวณสกายวอล์ก แยกปทุมวัน ใกล้ห้างสรรพสินค้า MBK ส่งมอบให้ นายบุญส่ง เนตรปฐมพรกิจ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 4

คดีนี้มีผู้ต้องหารวม 9 ราย ประกอบด้วย นายรังสิมันต์ โรม, นายสิรวิชญ์ หรือจ่านิว เสรีธิวัฒน์, นายอานนท์ นำภา, นายเอกชัย หงส์กังวาน, นายสุกฤษฎ์ เพียรสุวรรณ, นายเนติวิทย์ หรือแฟรงก์ โชติภัทร์ไพศาล, น.ส.ณัฏฐา หรือโบว์ มหัทธนา, นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือบ.ก.ลายจุด และนายวีระ สมความคิด ถูกกล่าวหากระทำการด้วยวิธีการใดๆ ลักษณะยุงยงปลุกปั่นให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 116 และฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 ที่ห้ามมั่วสุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป และกระทำความผิดชุมนุมห่างจากเขตพระราชฐานไม่เกิน 150 เมตรตามพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558

อัยการนัดสั่งคดีครั้งแรก 28 มิ.ย.

นายบุญส่ง เปิดเผยว่า ในการส่งสำนวนวันนี้ ผู้ต้องหาได้เดินทางมาพบอัยการด้วยรวม 8 คน ขาดเพียงคนเดียว คือ นายวีระ ที่ติดนัดพิจารณาคดีที่ศาลอาญา ซึ่งคดีนี้มีลักษณะความผิดคล้ายกับข้อกล่าวหาในคดีศาลแขวง ที่เกิดเหตุบริเวณแยกปทุมวันเช่นกัน แตกต่างเพียงคดีศาลแขวงไม่มีข้อกล่าวหา ม.116 เท่านั้น ที่มีโทษสูงขึ้น จึงทำให้สำนวนคดีเข้าสู่การพิจารณาของอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้ โดยผู้ต้องหาถูกกล่าวหาลักษณะเป็นแกนนำผู้สั่งการ

นายบุญส่งกล่าวว่า หลังจากรับสำนวนการสอบสวนมาแล้ว ตนก็ตั้งคณะทำงานอัยการ พิจารณาพยานหลักฐานอย่างรอบคอบ โดยอัยการนัดให้ผู้ต้องหาทั้งหมดมาฟังคำสั่งคดีครั้งแรก ในวันที่ 28 มิ.ย.นี้ เวลา 10.00 น. ส่วนนายวีระ ที่วันนี้ยังไม่ได้มารายงานตัวกับอัยการและเซ็นรับทราบนัด เรานัดให้มาพบวันที่ 4 มิ.ย.ก่อน นัดสั่งคดีพร้อมกันทั้งหมดตามที่นัดไว้ 28 มิ.ย.

“โรม”ลั่นพร้อมสู้ทุกคดีการเมือง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ ศูนย์ทนายความ เพื่อสิทธิมนุษยชน ได้เผยแพร่คำสัมภาษณ์นายรังสิมันต์ หลังจากเข้ารับทราบข้อกล่าวหาว่า การดำเนินคดีกับการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ล้วนเป็นคดีทางการเมือง เป็นข้อหาทางการเมืองทั้งหมด แต่เราพร้อมต่อสู้เต็มที่ แม้คดีต่างๆ จะก่อภาระมาก ให้ต้องเดินทางมาต่อสู้คดี แต่เราเชื่อว่าคดีของเราจะทำให้ สังคมได้เห็นว่าใครคือคนที่ถูกรังแก และใครเป็นผู้รังแก ยืนยันว่าการเคลื่อนไหวที่ผ่านมาของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งนั้น ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 พ.ค. ก็ไม่ได้เกิดจากผู้ชุมนุม เพราะได้แจ้งเส้นทางต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วว่าขอใช้ 1 ช่องทาง แต่การปิดถนนเกิดจากเจ้าหน้าที่เอง

นายรังสิมันต์กล่าวว่า ส่วนคดีของผู้เข้าร่วมชุมนุมกรณี MBK 39 ซึ่งแยกออกจากแกนนำนั้น เหลือผู้ต้องหาอีก 28 คน ถูกกล่าวหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 และพ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ อัยการยังไม่มีความเห็นทางคดีเช่นกัน โดยก่อนหน้านี้อัยการเจ้าของสำนวนมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจาก ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ทำให้ต้องรอฟัง ผลการพิจารณาจากอัยการสูงสุด ในวันที่ 26 มิ.ย. เวลา 10.00 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีชุมนุมที่หน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งแต่เย็นวันที่ 21-22 พ.ค.ที่ผ่านมานั้น ศาลนัดให้ทั้ง 15 คน มารายงานตัวต่อศาลครั้งแรก วันที่ 11 ก.ค.นี้ หลังครบกำหนดการฝากขังครั้งที่ 4

เด้งผกก.สน.พญาไททำเสียภาพพจน์

เมื่อเวลา 20.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) พล.ต.ต.เสนิต สำราญสำรวมกิจ ผบก.น.1 เปิดเผยว่า ได้มีคำสั่งกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 เลขที่ 127/2561 ลงวันที่ 25 พ.ค.2561 เรื่องให้ข้าราชการตำรวจปฏิบัติราชการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการและให้การบริหารงานในภาพรวมของกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 (บก.น.1) เป็นไปด้วยความเรียบร้อย อาศัยอำนาจตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจปฏิบัติราชการภายในตร. พ.ศ.2552 ข้อ 8(3) จึงมี คำสั่งให้ พ.ต.อ.นิติวัฒน์ แสนสิ่ง ผกก.สน. พญาไท ไปปฏิบัติราชการ ที่ศูนย์ปฏิบัติการ บก.น.1 โดยขาดจากหน้าที่เดิม และให้พ.ต.อ. สรเสริญ ใช้สถิตย์ รอง ผบก.น.1 รักษาราชการ แทนผกก.สน.พญาไท อีกหน้าที่หนึ่งโดยไม่ขาด จากตำแหน่งเดิม

สืบเนื่องจากกรณีมีผู้สื่อข่าวสำนักข่าว ต่างประเทศ ไปสัมภาษณ์ น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือโบว์ แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง บริเวณ หน้าห้องคุมขัง สน.พญาไท เมื่อวันที่ 23 พ.ค. ที่ผ่านมา ทำให้เกิดภาพที่ไม่เหมาะสม ถือว่ามีความบกพร่อง ขัดต่อข้อปฏิบัติของตร.

เผยจับอาวุธโยงแดงฮาร์ดคอร์

เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 25 พ.ค. ที่กองปราบปราม พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผบ.ตร. ได้รับมอบตัวผู้ต้องหาคดีค้าอาวุธสงคราม 4 ราย ประกอบด้วย นายวิชาญ รักชาติ อายุ 34 ปี นายวินัส ปริกเพชร อายุ 34 ปี น.ส.ประคองศรี ศิริมั่น อายุ 39 ปี นายสมบัติ แก้วสุข อายุ 29 ปี และนายประดิษฐ์ทอง ชัยปัญหา อายุ 58 ปี พร้อมของกลางกระสุนปืนขนาด 5.56 ม.ม. จำนวน 14,542 และอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนชนิดต่างๆ อีกจำนวนมาก รวมทั้งระเบิดชนิดขว้าง เอ็ม 26 เอ 1 รวม 5 ลูก

พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตำรวจสภ.เชียงแสน จ.เชียงราย จับกุมนายพงษ์พัฒน์ ใจอินต๊ะ อายุ 28 ปี จ.เชียงราย ขณะขับรถเก๋งฮอนด้า รุ่นซีวิค สีเทา ทะเบียน กพ 4475 เชียงราย พร้อมยึดกระสุนนับหมื่นนัด สอบสวนทราบว่าทั้งหมดถูกส่งพัสดุมาจากนายวิชาญ รักชาติ เจ้าหน้าที่จึงขยายผลดำเนินคดีและจับกุมนายวิชาญ ก่อนตามจับกุมผู้ต้องหาได้เพิ่มอีก 4 ราย รวมเป็น 5 ราย ตามหมายจับศาล ในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งตรวจสอบทางการข่าวยังสงสัยด้วยว่า ผู้ต้องหากลุ่มนี้มีความเกี่ยวข้อง และเตรียมนำอาวุธมาก่อเหตุในช่วงการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมาอีกด้วย

“การจับกุมอาวุธครั้งนี้มีความเชื่อมโยงกลุ่มแดงฮาร์ดคอร์ ไม่ได้เป็นการจัดฉาก เนื่องจากมีพยานหลักฐานชัดเจน เชื่อว่ายังมีอาวุธสงครามกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ อีกจำนวนมาก โดยการจับกุมครั้งนี้เป็นเพียง 1 ใน 3 ของอาวุธที่มีอยู่ทั้งหมด และจากการตรวจสอบอาวุธของกลาง พบว่าเคยนำมาใช้ก่อเหตุในปี 2553 ประมาณ 15 เหตุการณ์ เนื่องจากมีเลขนัมเบอร์ตรงกัน ซึ่งได้สั่งการให้ตรวจสอบว่าตรงกับเหตุการณ์ไหนบ้าง และขณะนี้ได้สั่งการให้ ตรวจสอบเป็นพิเศษสำหรับพื้นที่ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เนื่องจากทราบว่ากลุ่มแดงฮาร์ดคอร์ มีการเคลื่อนไหว และอาจเข้าไปแฝงตัวในบริเวณดังกล่าว” พล.ต.อ.ศรีวราห์กล่าว

รองผบ.ตร.กล่าวว่า จากการสอบปากคำเบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้งหมดยอมรับว่าได้สั่งซื้ออาวุธสงครามจริง โดยนายวิชาญ หนึ่งผู้ต้องหาอ้างว่ามีติดต่อขอซื้ออาวุธผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ จากบุคคลหนึ่งแล้วนำไปขายต่อให้กับผู้ต้องหาอีก 4 คน อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดให้การปฏิเสธว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มเสื้อแดงฮาร์ดคอร์ตามที่ถูกกล่าวหา