สหพัฒน์ ชี้ขึ้นค่าแรง 1 เม.ย.ยังไม่ปรับราคาสินค้า แต่ห่วงก๋วยเตี๋ยวจ่อชามละ 60 บาท

นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ในเครือสหพัฒน์ เปิดเผยว่า แนวโน้มกำลังซื้อของผู้บริโภคทั้งปีนี้น่าจะกระเตื้องขึ้น และดีกว่าปีที่แล้ว เพราะคาดการณ์ว่าทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2561 จะขยายตัวดีขึ้น หรือจีดีพีน่าจะอยู่ที่ 4% ตามที่หลายหน่วยงานคาดการณ์ เพราะความเชื่อมั่น และอารมณ์ที่จะจับจ่ายของผู้บริโภคดีขึ้นแล้ว แม้มองภาพรวมเศรษฐกิจไตรมาสแรกอาจจะดีไม่เท่าไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้ว เนื่องจากมีแรงสนับสนุนจากมาตรการของรัฐบาลผ่านโครงการสวัสดิการแห่งรัฐ ดังนั้นทั้งปีนี้ต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะหามาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนให้ได้ต่อเนื่อง

“หากรัฐบาลเพิ่มเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ น่าจะทำให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ถือว่ารัฐทำโครงการนี้ประสบผลสำเร็จ แต่ยังมีในเรื่องของเครื่องรูดบัตร ที่ภาครัฐจะต้องเร่งติดตั้งเครื่องรูดบัตรตามร้านต่างๆ ให้ทั่วถึงและมากขึ้นด้วย ส่วนในวันที่ 1 เม.ย.นี้เป็นต้นไป ที่มีการปรับขึ้นค่าแรงงาน
ทางกลุ่มสหพัฒน์มีนโยบายชัดเจนไม่ปรับขึ้นราคาสินค้าอุปโภคบริโภคทุกกลุ่มแต่อย่างใด แต่กังวลราคาอาหาร เช่น ก๋วยเตี๋ยว 50 อาจขึ้นเป็น 60 บาท ถือว่าไม่ดีนัก ซึ่งภาครัฐต้องหาทางป้องกันไม่ให้ราคาสินค้าเหล่านี้เพิ่มขึ้นด้วย”

และจากแนวโน้มภาพรวมดีขึ้น ทำให้บริษัทปีนี้ตั้งเป้าหมายจะเติบโตจากปีที่ผ่านมา 9% มียอดขายที่ 34,240 ล้านบาท และมีกำไรอยู่ที่ 2,000 ล้านบาท จากปีที่แล้วมียอดขาย 31,360 ล้านบาท เติบโตเพียง 4% ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้จะเติบโต 10% ซึ่งถือว่าเติบโตต่ำสุดในรอบ 10 ปี จากปกติจะเติบโตระดับ 8-10% แต่เพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัว ประกอบกับสินค้าในกลุ่มอาหารที่ยอดขายไม่ดีนัก อย่าง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า ผู้บริโภคลดลง และจากการที่มีคู่แข่งเป็นสินค้านำเข้ามาจำนวนมาก ส่วนปีนี้ตั้งเป้าหมายให้ยอดขายมาม่าเติบโต 8% จากปีที่แล้วมียอดขาย 10,300 ล้านบาท โดยจะเน้นมาม่าที่เป็นพรีเมียมราคาขาย 15 บาท เพื่อแข่งกับสินค้านำเข้าให้ได้

แต่อย่างไรก็ตาม ในปีที่แล้วบริษัทมีกำไร 1,444 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.1% มาจากการบริหารระบบขนส่งสินค้าและคลังสินค้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายลงได้มาก ขณะเดียวกันสินค้าหลายแบรนด์มีอัตราการเติบโตที่ดี สำหรับกลยุทธ์การตลาดที่ให้ความสำคัญปีนี้ คือ การจับมือกับคู่ค้าเปิดตัวสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง เสริมความสัมพันธ์กับร้านค้าพันธมิตร หรือ Strategic Partners ผ่านโครงการคู่ค้าพันธมิตร โดยตั้งเป้าหมายการขายร่วมกัน และเน้นการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ โดยให้ความสำคัญช่องทางบีทูบี (B2B) และบีทูซี (B2C) ของบริษัทมากขึ้น

นอกจากนี้ มีแผนจะลงทุนสร้างคลังสินค้าที่เป็นศูนย์กลางขนาดใหญ่ พื้นที่ 50,000 ตร.ม. หรือรวม 10 ไร่ ที่คาดว่าจะใช้เงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งมองทำเลไว้ที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี และยังมีแผนซื้อธุรกิจ แต่ยังไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ กำลังอยู่ระหว่างเจรจา

 

ที่มา ข่าวสดออนไลน์