ที่มา | ข่าวสดออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
วันที่ 9 ก.พ. นายสิขกพงษ์ กระแจะจันทร์ หัวหน้าเขตห้ามล่าสัตว์ป่าอุทยานสมเด็จพระศรีนครินทร์ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี พร้อมด้วย พ.ต.ท.รัชพล กิตติคุณชนก หัวหน้าชุด ปทส. (กาญจนบุรี-สุพรรณบุรี) ร.ต.ท.สุวัฒน์ ห้วยหงษ์ทอง รอง สว.กก.5 บก.ปทส. นายสราวุฒิ กังวีระนนท์ เจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดแล้วจังหวัดกาญจนบุรี (ทสจ.กจ.) นายธนบดี โอภาสชญานนท์ หน.หน่วยปฏิบัติการพิเศษที่1 สปป.1 (ภาคกลาง) สนธิกำลังตรวจสอบร้านอาหารป่า เพื่อป้องกันลักลอบขายสัตว์ป่าที่ จ.กาญจนบุรี
นายสิขกพงษ์ เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากทางสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) ได้ดำเนินการออกประชาสัมพันธ์ว่ากล่าวและตักเตือนร้านค้าและร้านอาหารที่มีลักษณะขึ้นป้ายโฆษณาว่าเป็นการขายอาหารป่าให้กับลูกค้า และการมาที่ร้านอาหารที่อยู่บริเวณนี้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ สบอ.3 (บ้านโป่ง) ได้รับแจ้ง และสืบทราบมาว่ามีร้านค้าบางร้านมีพฤติกรรมหลอกลวงประชาชนและนักท่องเที่ยวที่เข้ามารับประทานอาหารในร้าน ว่ามีการขายอาหารประเภทสัตว์ป่า แต่ที่จริงแล้วอาหารชนิดดังกล่าวนั้นไม่ใช่สัตว์ป่าตามที่ติดป้ายเอาไว้ เช่นอาหารประเภท เก้ง และกวาง หรือแม้กระทั่งแย้
ซึ่งทางคณะเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาตักเตือนร้านอาหารต่างนั้น ก็เพราะไม่ต้องการให้นักท่องเที่ยวหรือประชาชนที่ไม่คุ้นเคยกับอาหารชนิดดังกล่าวนั้นถูกหลอก และไม่ต้องการให้แม่ค้าหรือพ่อค้าหลอกนักท่องเที่ยวและประชาชน เพราะอันที่จริงแล้ว การที่ร้านอาหารบอกกับลูกค้าหรือมีป้ายเขียนติดเอาไว้เพื่อให้ลูกเลือกสั่ง และจากการตรวจในครั้งนี้พบว่ามีร้านหนึ่ง มีป้ายแจ้งว่ามีผัดเผ็ดเก้ง ความจริงแล้วไม่ใช้เก้งแต่มันเป็นลูกวัว ส่วนผัดเผ็ดแย้ที่จริงคือนำนกกระทามาผัดแล้วอ้างว่าเป็นแย้ บางครั้งก็ใช้โครงกระดูกไก่มาสับให้ละเอียดแล้วบอกว่าเป็นผัดเผ็ดแย้ เป็นต้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ได้ว่ากล่าวตักเตือนพร้อมกับให้นำป้ายที่ที่ติดเอาไว้ว่าเป็นของป่านั้นออกไป และถ้าหากมีการตรวจพบในวันข้างหน้า ร้านค้าที่ถูกตักเตือนมาก่อนก็จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ได้ไปสุ่มตรวจภายในตลาดสด มีป้ายที่ติดเอาไว้ว่าเป็นเก้ง แต่กลับเป็นเนื้อ โดยนำลูกวัวมาทำด้วยการแช่เลือด ให้มีสีแดงลักษณะคล้ายกับเนื้อของสัตว์ป่า และที่หนักไปกว่านั้นเมื่อตกถึงยามบ่ายเนื้อที่แช่ด้วยเลือดก็จะกลายเป็นสีดำ ซึ่งสีจะไม่เหมือนกับเนื้อของสัตว์ป่า ดังนั้นจึงนำสีย้อมผ้ามาย้อมเนื้อ เพื่อให้กลายเป็นสีแดง และคงทนไปจนถึงช่วงเย็น ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายต่อสุขภาพของประชาชนและนักท่องเที่ยวที่ได้รับประทานเข้าไป เพราะสีย้อมผ้านั้นมีสารก่อมะเร็ง จึงอยากฝากไปถึงประชาชนและนักท่องเที่ยวที่นิยมกินของป่าที่มีป้ายขายว่า สิ่งที่ท่านเห็น หรือรับประทานไปนั้นมันไม่ใช่อาหารป่าอย่างที่ท่านคิด แต่มันเป็นเนื้อวัว หรือนกกะทานั่นเอง เพราะปัจจุบันอาหารป่าเหล่านี้ไม่มีแล้ว และเมื่อประมาณ 1 เดือนที่ผ่านมา เราได้เข้าไปสุ่มตรวจที่ตลาดสดอีกครั้งหนึ่งปรากฎว่าไม่พบการกระทำดังกล่าวแล้ว
และหลังจากนี้คณะเจ้าหน้าที่จะได้ร่วมกับทางจังหวัด และเชิญเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ รวมทั้งสาธรณสุขจังหวัด มาร่วมกันตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง และหากพบว่ามีการฝ่าฝืนก็จะต้องดำเนินคดีกับพ่อค้าหรือแม่ค้าตามกฎหมาย ซึ่งถือว่าไม่คุ้ม และจะทำให้การท่องเที่ยวของจังหวัดกาญจนบุรีเสียหายไปด้วย
นายสิขกพงษ์ กล่าวต่อว่า และอีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญที่คณะเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจตราร้านอาหารที่มีป้ายขายอาหารป่า ก็มาจากกระแสข่าวที่นายวิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตก พร้อมเจ้าหน้าที่ ร่วมกันจับกุมตัวนายเปรมชัย กรรณสูตร ประธานบริหารและกรรมการ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) พร้อมพวก 4 คน ที่เข้าไปยิงเสือดำ ตามที่กำลังเป็นข่าวโด่งดังอยู่ในขณะนี้ เราก็ได้ประชาสัมพันธ์ให้ร้านอาหารต่างๆ ช่วยกันรณรงค์ ไม่จำหน่ายอาหารป่า รวมทั้งรณรงค์ไม่ให้ประชาชนมานิยมกินของป่า ซึ่งเมื่อไม่มีคนขายก็จะไม่มีคนกิน และเมื่อไม่มีคนกิน ก็จะไม่มีคนขาย ปัจจุบันสัตว์ป่าบ้านเราเริ่มลดน้อยลงทุกที เชื่อว่าหากประชาชนทุกคนช่วยกันรณรงค์ ร่วมกันรักษาป่า จะทำให้สัตว์ป่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะเสือดำ