ผู้เขียน | มติชนออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนการลงทุนของกลุ่ม ปตท. 5 ปี (2561-2565) ว่า จะใช้เงินลงทุนรวม 1.21 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นงบการลงทุน ปตท. 3.42 แสนล้านบาท บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. 4.66 แสนล้านบาท บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) 5 หมื่นล้านบาท บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ พีทีทีจีซี 1.8 แสนล้านบาท บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) 1.5 แสนล้านบาท บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ หรือ จีพีเอสซี 2.8 หมื่นล้านบาท
สำหรับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทาง ปตท. ไม่เป็นห่วงเนื่องจากมีการบริหารการลงทุน การจัดหาเงินในรูปเงินบาท สกุลต่างชาติและรายได้ เป็นการป้องกันความเสี่ยงตามธรรมชาติ รวมทั้งมีการซื้อประกันความเสี่ยงบางครั้ง ด้านราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นใกล้ 70 ล้านเหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล บริษัทยังไม่มีแผนปรับราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบจากเดิมที่วางไว้ 52-58 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพราะราคาน้ำมันที่สูงเป็นผลมาจากกลุ่มประเทศโอเปกรักษาโควตาการผลิตน้ำมันดิบ และอากาศหนาวจัดทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นสูง แต่เชื่อว่าน้ำมันและก๊าซจากชั้นหินดินดานจะกลับเข้ามาผลิตเพิ่มขึ้นจนกดดันราคาน้ำมันดิบปรับตัวลง
ส่วนกรณีกระแสข่าวลดบทบาทรัฐวิสาหกิจพลังงาน ทาง ปตท. คงต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ หากรัฐบาลต้องการความมั่นคงรัฐวิสาหกิจ (รสก.) ปตท. จะเข้าไปลงทุนแทนรัฐ แต่หากธุรกิจใดที่มีการแข่งขัน มีความมั่นคง ก็ควรจะปล่อยให้มีการแข่งขันอย่างอิสระและเป็นธรรม ทั้งนี้ พลังงานควรมองควบคู่กับความมั่นคง ฝ่ายกำกับรัฐวิสาหกิจก็ควรเปิดให้เอกชนเข้ามาแข่งขันอย่างเป็นธรรมและมีประสิทธิภาพ อาทิ การแข่งขันในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ มีโอกาสการแข่งขันมากขึ้น มีทิศทางให้เอกชนเข้ามาแข่งขันมากขึ้น
“ที่ผ่านมา ปตท. ได้ลงทุนท่อก๊าซ และคลังแอลเอ็นจี ซึ่งจะเปิดให้เอกชนอื่นเข้ามาใช้ ซึ่ง ปตท. จะแยกกิจการโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ออกจากกิจการขายก๊าซ ให้เอกชนรายอื่นเข้ามาใช้ได้ ขณะนี้ได้ทำการแยกบัญชี และการกำกับดูแลไปจนถึงผลกำไรขาดทุนของท่อก๊าซ และคลังแอลเอ็นจีแล้ว และจะแยกเป็นบริษัทอิสระในอนาคต โดยการแยกระบบท่อก๊าซอาจจะมีความยากในประเด็นของทรัพย์สิน และภาษีพอสมควร”
นายสมพร ว่องวุฒิพรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ปตท.สผ. กล่าวว่า ปริมาณขายปิโตรเลียมปี 2560 จะอยู่ที่ราว 3 แสนบาร์เรลต่อวัน และต้นทุนต่อหน่วยอยู่ที่ 29-30 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งทำได้ใกล้เคียงเป้าหมายที่ตั้งไว้ แม้จะได้รับผลกระทบจากการเรียกก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยในช่วงแรก แต่ก็ได้พยายามเพิ่มการผลิตจากพม่า และแหล่งน้ำมันเพิ่มขึ้น และในปีนี้ตั้งเป้าจะมีปริมาณขายปิโตรเลียมที่ราว 3 แสนบาร์เรลต่อวัน และมีต้นทุนต่อหน่วยที่ราว 30 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล บนพื้นฐานราคาน้ำมันดิบที่ระดับ 50-60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
สำหรับแผนงานในปีนี้จะยังคงมองหาโอกาสการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหลัก ทั้งในไทย พม่า มาเลเซีย คิดเป็นสัดส่วนลงทุน 90% และอาจจะขยายไปยังตะวันออกกลางที่มองว่ามีอัตราการเติบโตของการผลิตปิโตรเลียมเพิ่มเติม โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเข้าประมูลสัมปทานในมาเลเซีย และทำดีลซื้อกิจการ ซื้อสินทรัพย์เพิ่มเติม ขณะที่ให้ความสำคัญต่อเรื่องการประมูลแหล่งบงกชและเอราวัณ ที่จะหมดอายุสัมปทาน 2565-66 เป็นเรื่องหลัก รวมถึงขยายการลงทุนในแปลงปิโตรเลียมที่มีศักยภาพด้วย