คนการเมือง-นักวิชาการ ร่วมแสดงความไว้อาลัย “สุรินทร์ พิศสุวรรณ”

กรณีการเสียชีวิต ของ นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ วันนี้ จากอาการหัวใจวายเฉียบพลัน

เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทราบข่าวการเสียชีวิตของนายสุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน ได้แสดงความเสียใจ โดยระบุว่า “ขอแสดงความเสียใจด้วย กับการสูญเสียบุคลากรสำคัญ”

นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกฯ อดีตรมว.ต่างประเทศ กล่าวว่าขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวท่านสุรินทร์อย่างจริงใจ นับเป็นการสูญเสียบุคคลากรคุณภาพระดับแนวหน้าของการเมืองไทย และบุคคลากรด้านการต่างประเทศของไทยและของภูมิภาค

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคปชป. กล่าว ตนทราบทราบเรื่องนี้จากสมาชิกพรรคแล้ว รู้สึกตกใจมาก แต่ตนยังปฎิบัติหน้าที่อยู่ที่ประเทศจีน จึงยังไม่ทราบรายละเอียดว่าเป็นอย่างไร ‬

“ผมได้รับทราบข่าวการจากไปของดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณด้วยความตกใจและเสียใจอย่างยิ่ง นับเป็นการสูญเสียบุคลากรที่มีคุณค่าไม่ใช่เฉพาะสำหรับพรรคปชป.แต่เป็นความสูญเสียของประเทศและสังคมโลก ท่านเป็นบุคคลที่พร้อมด้วยความรู้ความสามารถและมีความมั่นคงในอุดมการณ์ที่นับวันหาได้ยากในแวดวงการเมือง” นายอภิสิทธิ์ ระบุ

ขณะที่นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยน้ำเสียงตกใจเมื่อทราบข่าวดังกล่าวว่า ตนไม่ทราบมาก่อนเลย เมื่อทราบข่าวก็รู้สึกช็อค เพราะเดิมตนกำลังจะนัดพบปะกับนายสุรินทร์ ในสัปดาห์หน้าอยู่แล้ว ทั้งนี้นายสุรินทร์ ก็เป็นคนหนึ่งที่อาสาที่จะลงสมัครผู้ว่ากทม. ทั้งนี้ ขอแสดงความเสียใจกับภรรยาและลูกๆ รวมทั้งครอบครัวของนายสุรินทร์ พิศสุวรรณ กับการจากไปในครั้งนี้ ถือว่าเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของสังคมไทย เพราะนายสุรินทร์ถือเป็นบุคคลที่มีความสามารถมีประสบการณ์ทำงานรับใช้ประเทศชาติบ้านเมืองมาอย่างยาวนาน ปกติท่านเป็นคนแข็งแรงออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ ตนได้มีโอกาสไปต่างประเทศทุกครั้งที่ไปในตอนเช้าท่านก็จะเข้าฟิตเนสออกกำลังกายตลอดเวลา ซึ่งการสูญเสียท่านถือเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญ เชื่อว่าหากท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะสามารถทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติและบ้านเมืองได้อีกมาก

ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โพสต์บทกลอนผ่านทางเฟสบุ๊ก Tongthong Chandransu ว่า

มีแต่ความเสียใจไปทุกLine
เป็นข่าวร้ายบ่ายวันนี้มีมาถึง
มีแต่เสียงเพรียกพร่ำด้วยรำพึง
ด้วยคิดถึงคนดีงามนาม’สุรินทร์’
เป็นคนไทยที่ไปสู่นานาชาติ
และได้วาดประวัติไว้ให้คนถวิล
พิศตรงไหนก็เห็นทองผ่องโศภิน
คนจึงรินร่ำน้ำตาด้วยอาลัย

ขณะที่อังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แสดงความรู้สึกต่อการจากไปครั้งนี้ โดยระบุว่า เราเป็นของพระเจ้าและยังพระองค์ที่เราคืนกลับ เสียใจกับข่าวการจากไปของพี่สุรินทร์ ได้คุยกันไม่นานเรื่องการทำงานประเด็นสิทธิมนุษยชน สิ่งที่ประทับใจเสมอมา คือ ดร. สุรินทร์ เป็นคนที่เชื่อมั่นในคนรุ่นใหม่ เป็นคนมีความคิดก้าวหน้า ไม่ล้าสมัย ให้เกียรติ เคารพ และอดทนต่อความคิดเห็นที่แตกต่าง – เสียใจแต่เชื่อมั่นว่าท่านจะพบความสงบสันติกับพระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นที่รัก และนิรันดร์

ด้าน อ.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความทางเฟสบุ๊ก เปิดเผยว่า ผมเรียกคุณสุรินทร์ พิศสุวรรณ ว่า ‘อาจารย์’ ทุกครั้งที่ได้เจอกัน เพราะท่านเคยเป็นอาจารย์ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นคณะที่ท่านเคยศึกษาอยู่สองปีก่อนจะไปศึกษาที่สหรัฐอเมริกา

อาจารย์สุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็นคนธรรมศาสตร์ ที่ชาวธรรมศาสตร์ภาคภูมิใจเสมอมา ทั้งด้วยเกียรติคุณ ความสามารถ และคุณงามความดี ที่เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชน ทั้งในประเทศและนานาชาติ จนสภามหาวิทยาลัยได้มีมติแต่งตั้งอาจารย์สุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็น ‘ธรรมศาสตราภิชาน’ ในปี 2556 ซึ่งน้อยคนนักจะได้รับตำแหน่งนี้
สิ่งสำคัญที่ผมอยากจะกล่าวถึงคือ ทุกครั้งที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เชิญอาจารย์สุรินทร์ พิศสุวรรณ มาปาฐกถา หรืออภิปราย เท่าที่ผมได้ประสบกับตัวเอง และได้ยินได้ฟังมา ถ้าอาจารย์ไม่ติดภารกิจสำคัญที่มีกำหนดนัดมาก่อนแล้ว อาจารย์ไม่เคยปฏิเสธเลยแม้แต่ครั้งเดียว และทุกครั้งทั้งชาวธรรมศาสตร์ และสาธารณชนก็ได้ประโยชน์จากสติปัญญาอันลุ่มลึกและประสบการณ์ในระดับนานาชาติของอาจารย์ทุกครั้งไป

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา อาจารย์สุรินทร์มาปาฐกถาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 3 ครั้ง และผมมีโอกาสได้ไปต้อนรับและไปนั่งฟังอาจารย์จนจบทั้ง 3 ครั้ง อาจารย์สุรินทร์เป็นนักพูดชั้นเลิศที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ประเทศไทยเคยมี ลีลาการใช้ภาษา จังหวะการพูด โดยเฉพาะการพูดเรื่องยากๆ หรือวิจารณ์ผู้มีอำนาจอย่างสุภาพ นุ่มนวล เปี่ยมด้วยอารมณ์ขัน แต่เร้าใจ และทรงพลัง โดยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่มีใครจะสามารถเอาอย่างได้คือ การยิ้มขณะพูด ที่ไม่ใช่แค่ปาก หรือแววตา แต่คือการยิ้มทั้งใบหน้า ผมไม่เคยเห็นใครว่าคนด้วยเนื้อหาแบบหนักๆ แต่สุภาพ ด้วยรอยยิ้มทั้งใบหน้าเช่นนี้มาก่อน

ในการปาฐกถา 3 ครั้งสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั้น ครั้งที่ประทับใจผมที่สุดคือในเดือนกันยายน 2559 ในงานมหกรรมจิตอาสา ซึ่งจัดที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์

ท่ามกลางคนฟังกว่า 400 คนทั้งคนไทยและคนต่างประเทศ อาจารย์ปาฐกถาเป็นภาษาอังกฤษ ในเรื่องความหมายของจิตอาสา และการเป็นพลเมือง ที่สร้างความประทับใจที่สุดให้กับทุกคน โดยเรียกเสียงปรบมือได้เป็นระยะตั้งแต่ต้นจนจบ

ทำไมผมจึงประทับใจการปาฐกถาครั้งนั้นที่สุด? นี่คือถ้อยคำบางส่วนในช่วงที่สำคัญที่สุด ที่ผมขอถอดความจากภาษาอังกฤษจากความทรงจำครับ

“.. พวกเราทั้งหลายคือพลเมืองผู้เป็นเจ้าของประเทศ ประเทศและโลกของเราต้องการพลเมืองดังเช่นท่านทั้งหลายในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยมือของพวกเรา” อาจารย์สุรินทร์กล่าวอย่างทรงพลัง ด้วยรอยยิ้มทั้งใบหน้าจนตาหยีอันเป็นเอกลักษณ์

“สำหรับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่เรากำลังพูดกันอยู่นี้ เรามีประวัติศาสตร์ที่พลเมืองเคยมาร่วมกันเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองมาหลายต่อหลายครั้ง” อาจารย์สุรินทร์กล่าวต่อ

“ท่านผู้มีอำนาจในบ้านเมือง ผมเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ท่านจะต้องให้พลเมืองได้ปกครองตนเอง และแก้ปัญหากันเองอีกครั้ง ..” อาจารย์พูดพร้อมกับผายมือไปด้านหลัง ซึ่งเป็นสนามฟุตบอลของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

“อย่าให้พลเมืองเจ้าของประเทศต้องมาทวง!

อย่าให้สนามฟุตบอลของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ต้องแน่นไปด้วยผู้คนนับแสนๆ คนอีก!”

ผมไม่ทราบว่าในคราวนั้นการปาฐกถาของอาจารย์จะได้ยินไปถึงผู้มีอำนาจหรือไม่ ผมจึงขอแสดงความคารวะด้วยการนำสารนั้นมาลงในที่นี้ ด้วยหวังว่าเจตนา ความปรารถนาดีต่อบ้านเมืองของอาจารย์ที่ไดัแสดงไว้เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว จะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองในขณะนึ้

ประเทศไทยได้สูญเสียนักการต่างประเทศ และนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่ดีที่สุดคนหนึ่งไปแล้ว .. เราจะไม่ได้ฟังถ้อยคำฉลาดๆ จาก อาจารย์สุรินทร์ พิศสุวรรณ อีกแล้ว เราจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มทั้งใบหน้าของอาจารย์อีกต่อไป แต่อาจารย์จะเป็นแบบอย่าง และทุกสิ่งอย่างจะอยู่ในใจของพวกเราตลอดไป

ด้วยความคารวะและอาลัยอย่างสุดซึ้ง