ตัวแทนคุณครูภาคกลาง ร่วมสร้างแรงบันดาลใจสู่ครูต้นแบบส่งเสริมรักการอ่าน

เพราะการอ่าน เป็นวิธีง่าย ๆ ในการเรียนรู้ โดยเฉพาะในช่วงวัยเด็ก ซึ่งเป็นช่วงอายุที่สำคัญในการเรียนรู้ และเสริมสร้างศักยภาพให้กับพวกเขา เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการเติบโตเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ ที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยให้มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน

และด้วยเหตุผลดังกล่าว “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี” โดยความร่วมมือกับ สพฐ. และกรมส่งเสริมวัฒนธรรม จึงได้จัด “โครงการส่งเสริมรักการอ่าน เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ชวนน้องอ่าน ปีที่ 15” พร้อมกันนั้น ยังมีโครงการพิเศษ นั่นคือ “โครงการเดอะ พิซซ่า คอมปะนี เฟ้นหาครูต้นแบบส่งเสริมรักการอ่าน ระดับประถมศึกษา ประจำปี 2560” ซึ่งเป็นโครงการที่ต่อยอดกับคุณครู ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในการทำหน้าที่ส่งเสริมรักการอ่านในโรงเรียน โดยมีการโรดโชว์ไปตามภูมิภาคต่าง ๆ เพื่อทำกิจกรรมร่วมกับคุณครูในโครงการ เริ่มต้นด้วยภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร ที่มีตัวแทนคุณครูเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้ มากกว่า 140 คน

คุณปัทมาวลัย รัตนพล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และบริษัท เดอะไมเนอร์ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ โครงการเดอะ พิซซ่า คอมปะนี เฟ้นหาครูต้นแบบส่งเสริมรักการอ่าน ระดับประถมศึกษา ประจำปี 2560” เป็นหนึ่งในโครงการส่งเสริมรักการอ่าน ที่ต่อยอดมาจาก โครงการส่งเสริมรักการอ่าน เดอะ  พิซซ่า คอมปะนี ชวนน้องอ่าน ที่จัดอย่างต่อเนื่อง เป็นปีที่ 15 โดยโครงการนี้มีวัตถุประสงค์คือเพื่อร่วมส่งเสริมพัฒนาศักยภาพของครู ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในการส่งเสริมรักการอ่านในโรงเรียน และแก่เด็กนักเรียน

“กิจกรรมสำคัญ จะประกอบด้วยการโรดโชว์ไปทำกิจกรรมร่วมกับตัวแทนคุณครูในภูมิภาคต่างๆ โดยเริ่มต้นที่ภาคกลางและกรุงเทพฯ ในวันนี้ ซึ่งคุณครูจะได้ร่วมกิจกรรมการเสวนา และเวิร์กช็อป เพื่อแลกเปลี่ยนแนวคิดวิธีการกระตุ้นให้เด็กไทยอ่านหนังสือ  และยังเป็นการช่วยเพิ่มพูนทักษะและความรู้ เพื่อนำไปพัฒนาหรือประยุกต์ใช้ในกระบวนการกระตุ้นการอ่านหนังสือ ให้เหมาะสมกับโรงเรียนของตนเอง และให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น หลังจากนั้นเมื่อคุณครูกลับไป ก็จะต่อยอดผลงานนวัตกรรมในการส่งเสริมรักการอ่านในโรงเรียนของแต่ละท่าน และส่งเข้ามาเพื่อเฟ้นหาครูต้นแบบส่งเสริมรักการอ่าน ระดับประถมศึกษา ประจำปี 2560 เพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูครูให้เกิดความภาคภูมิใจในวิชาชีพ นอกจากนี้ครูต้นแบบที่เข้าร่วมโครงการ  จะเป็นผู้ส่งต่อแรงบันดาลใจแก่คุณครูทั่วประเทศ นับว่าเป็นการปูพื้นฐานอีกก้าวหนึ่งของการส่งเสริมรักการอ่านของเด็ก ๆ ในการเป็นบุคลากรที่สำคัญในการพัฒนาประเทศ ให้มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตามแนวทางยุทธศาสตร์ชาติในปัจจุบัน”

ด้าน คุณประดิษฐ์ โปซิว รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า วัฒนธรรมการอ่านนั้น ถือเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศในการเข้าสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0  โดยปัจจุบันนี้เด็กไทยอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นวันละ 66 นาที รวมทั้งการอ่านข่าวสารจากสื่อโซเชียลมีเดีย หรือเว็บไซต์ต่าง ๆ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในแถบอาเซียน ประเทศไทยยังอยู่ลำดับท้าย ๆ  รองลงมาจากมาเลเซีย อินโดนีเซีย เพราะฉะนั้นต้องเร่งผลักดันในการรณรงค์ให้เด็ก เยาวชน มีวัฒนธรรมการอ่านที่ส่งเสริมให้เห็นค่านิยมในการอ่าน โดยเฉพาะกับครู จะต้องกระตุ้นให้เด็กเห็นถึงความสำคัญของการอ่านมากขึ้น จุดนี้เองจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการสร้างสังคมรักการอ่านให้เพิ่มจำนวนขึ้นในประเทศไทย

“ความร่วมมือและการสนับสนุนโครงการฯ ในครั้งนี้ ทางกรมส่งเสริมวัฒนธรรมเอง ได้ส่งตัวแทนมาร่วมเป็นกรรมการตัดสินในโครงการ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี เฟ้นหาครูต้นแบบส่งเสริมรักการอ่าน ระดับประถมศึกษา ประจำปี 2560 เพื่อร่วมสร้างความภาคภูมิใจให้กับคุณครูในการพัฒนาตนเอง พร้อมเสริมสร้างการรักการอ่าน   และปลูกฝังแนวคิดรักการอ่านในโรงเรียนของตนให้มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน ซึ่งเชื่อว่าหากทุกมิติเป็นฟันเฟืองที่มีประสิทธิภาพ เด็ก ๆ จะหันมารักการอ่าน และเป็นพื้นฐานการพัฒนาตนเองที่ดีในอนาคตได้อย่างแน่นอน”

ขณะที่ตัวแทน Franchisee เดอะพิซซ่าคอมปะนี กรุงเทพฯ  อย่าง คุณสิริจันทร์ พิพิธรังษี กล่าวว่าบทบาทสำคัญที่ผ่านมา นั่นคือการเป็นเจ้าบ้าน ในการต้อนรับน้อง ๆ เด็กนักเรียนในพื้นที่ ที่มาแลกพิซซ่า หรือรับประทานพิซซ่ากันที่ร้าน หลังจากที่พวกเขาอ่านหนังสือได้ครบตามจำนวนที่กำหนดไว้ในโครงการส่งเสริมรักการอ่าน เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ชวนน้องอ่าน ซึ่งสิ่งสำคัญเมื่อน้อง ๆ มาถึง นั่นคือการส่งต่อความชื่นชมจากพี่ ๆ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ให้พวกกเขาภาคภูมิใจในสิ่งที่เขาทำ รวมถึงชื่นชมครอบครัว หรือคุณครู ที่พาเด็ก ๆ มา เพื่อเป็นแรงใจในการร่วมกิจกรรม

“การมาร่วมกิจกรรมในวันนี้ ถือเป็นอีกครั้งที่ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการฯ มีความภูมิใจที่เห็นทุก ๆ ฝ่าย โดยเฉพาะบุคคลสำคัญอย่างคุณครูมาร่วมระดมกำลังในการพัฒนาการอ่านของเด็กไทย และนอกจากนี้ อีกบทบาทหน้าที่หนึ่งในโครงการฯ นั่นคือการร่วมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับชุมชนผ่านโรงเรียนในชุมชนที่ร้านของเราตั้งอยู่ ซึ่งภายใต้โครงการนี้ ทางเราในฐานะเป็น Franchisee หรือเจ้าของร้าน ซึ่งจริง ๆ แล้วก็คือสมาชิกคนหนึ่งในชุมชน จะร่วมกิจกรรมผ่านการทำหน้าที่ คัดเลือก และประสานกับโรงเรียนประถมศึกษาในชุมชน 1 โรงเรียน 1 ชุมชน เพื่อร่วมสนับสนุนการส่งเสริมการรักการอ่านอย่างยั่งยืน ผ่านการมอบ “ตู้หนังสือ” ที่มีหนังสือคุณภาพ และเหมาะกับวัย ให้กับห้องสมุดของโรงเรียนนั้น ๆ เพื่อให้น้อง ๆ ที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนในชุมชน ได้มีหนังสือดี ๆ และเหมาะสมกับช่วงวัยมากยิ่งขึ้น ประยุกต์ใช้ในกระบวนการส่งเสริมรักการอ่านในโรงเรียนในชุมชนที่เราอยู่ร่วมกัน ให้เกิดประสิทธิภาพ” คุณสิริจันทร์ กล่าว

ด้าน ดร.กุลชาติ จุลเพ็ญ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี  วิทยากรที่มาร่วมสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ครูต้นแบบ ได้เล่าถึงความรู้สึกที่เข้าร่วมกิจกรรมในวันนี้ว่า ตนรู้สึกดีใจมากที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่คุณครูทุกท่านผู้ที่เปรียบเสมือนแม่พิมพ์ของชาติในการคอยสนับสนุน และพาเด็ก ๆ ไปสู่ความสำเร็จในชีวิตที่พวกเขาฝันไว้

“ส่วนตัวผมเองเริ่มอ่านหนังสือจากกองขยะ ซึ่งจะอ่านจากหนังสือพิมพ์ที่เก็บได้ โดยที่แม่จะสอนหนังสือให้ผมอยู่เสมอ และตรงจุดนี้เองเป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้ผมเป็นคนที่รักการอ่านหนังสือ  เพราะผมมีแม่เป็นแรงผลักดันในการตั้งใจเรียน หมั่นหาความรู้อยู่เสมอ ซึ่งนอกจากแม่ของผมแล้วยังมีคุณครูผู้ที่คอยให้อภัยเวลาที่ผมทำผิด พร้อมทั้งยังเป็นผู้สนับสนุนให้ผมเดินหน้าทำความฝันได้สำเร็จ  โดยอาชีพครูสำหรับผมนั้นเป็นอาชีพที่สำคัญอย่างมาก ต้องทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีวันได้หยุดพัก เพื่อที่จะผลิตคนเก่งออกไปและรับคนใหม่เข้ามาเพื่ออบรมสั่งสอน ผมจึงอยากเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจที่จะมอบให้แก่คุณครูทุกท่านในวันนี้ ในการคอยช่วย และพัฒนาลูกศิษย์ของเราให้เติบโตไปพัฒนาประเทศชาติได้ในอนาคต” ดร.กุลชาติ กล่าวทิ้งท้าย

โครงการนี้ถือเป็นการรวมพลังครั้งสำคัญจากทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน รวมถึงผู้ประกอบการในชุมชน อันจะเป็นแรงผลักดันให้เด็กไทยได้มีพัฒนาการการเรียนรู้ และทักษะที่มาจากการการอ่านหนังสืออย่างแท้จริง และยังเป็นการร่วมส่งเสริมศักยภาพของครูให้มีคุณภาพ เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ที่ยั่งยืนสืบไป