ชลประทานแจงยังคุมน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา ไม่ให้ กทม.-ปริมณฑลเอ่อล้น

นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า สถานการณ์น้ำในพื้นที่ตอนบนเริ่มดีขึ้น หลังปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณสถานี C.2 อ.เมือง จ.นครสวรรค์ ลดลงเหลือ 2,979 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (ลบ.ม./วินาที) แนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง กรมชลประทานยังคงปริมาณน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาในอัตรา 2,697 ลบ.ม./วินาที มาตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2560 จนถึงปัจจุบันยังคงระบายน้ำในอัตราเท่าเดิม โดยได้แบ่งรับน้ำบริเวณเหนือเขื่อนเจ้าพระยาบางส่วนเข้าสู่ระบบชลประทานฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกรวมประมาณ 769 ลบ.ม./วินาที ไม่มีแผนที่จะเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาแต่อย่างใด

ปัจจุบันปริมาณน้ำที่ไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาได้ไหลมาถึงบริเวณจังหวัดปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพฯแล้ว โดยไม่ได้ส่งผลกระทบให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ตามที่เป็นข่าวลือในโลกโซเชียลมีเดีย ทั้งนี้ พื้นที่น้ำท่วมด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา จะเป็นพื้นที่ที่อยู่นอกคันกั้นน้ำริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ อ.สรรพยา จ.ชัยนาท, อ.อินทร์บุรี อ.พรหมบุรี อ.เมือง จ.สิงห์บุรี, อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง, อ.บางบาล อ.ผักไห่ อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา จำนวน 14 จุดเท่านั้น อีกทั้งปริมาณน้ำที่ไหลผ่านสถานี C.29A อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ปัจจุบันมีอัตราการไหลเฉลี่ย 2,826 ลบ.ม./วินาที ยังต่ำกว่าความจุของลำน้ำมาก ซึ่งบริเวณกรุงเทพฯและปริมณฑลรับน้ำได้สูงสุด 3,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที โดยปริมาณน้ำดังกล่าว จึงไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลแต่อย่างใด

สำหรับกรณีของคลองรังสิต เนื่องจากต้องแบ่งเบาปริมาณน้ำจากแม่น้ำป่าสักที่จะระบายลงแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านเขื่อนพระรามหก ด้วยการเพิ่มการรับน้ำเข้าคลองระพีพัฒน์มากขึ้น ส่งผลให้น้ำในคลองต่างๆ รวมถึงคลองรังสิตมีระดับน้ำสูงขึ้น แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ควบคุมได้ เนื่องจากในคลองเหล่านี้จะมีอาคารบังคับน้ำ สถานีสูบน้ำที่จะควบคุมปริมาณน้ำ โดยไม่ส่งผลกระทบให้เกิดน้ำเอ่อล้นตลิ่ง หากพบเห็นจุดเสี่ยงภัยน้ำท่วมสามารถแจ้งข้อมูลหรือติดต่อสอบถามได้ที่สำนักงานชลประทานที่ 11 โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษา รังสิตใต้ โทร 0-2531-2913