คนในภาพ คุณตาวัย 82 เผยนาทีสุดปีติ ได้ถวายงานรับใช้ ในหลวง ร.9 (คลิป)

เมื่อวันที่ 19 ต.ค. ที่ จ.ราชบุรี ป้ายห้องภาพ นิวเทคนิด อายุเก่าครึ่งทศวรรษที่ยังคงมีสภาพสมบูรณ์ ที่กลายสภาพจากร้านล้าง ถ่าย และ อัดภาพ เป็นร้านค้าขายของโชห่วย ตั้งอยู่เลขที่ 276 หมู่ที่ 8 ตำบลดำเนินสะดวก อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี เป็นของนายอวยไชย แซ่ลิ้ม ปัจจุบันอายุ 82 ปี ซึ่งเป็นอดีตช่างภาพที่ได้ถวายงานใกล้เบื้องพระยุคลบาทในการบันทึกภาพการเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินต้น ณ วัดโชติทายการาม อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2510 และยังเป็นผู้ที่ปรากฏในภาพถ่ายที่ได้มีโอกาสทูลเกล้าฯ ถวายเงิน โดยเสด็จพระราชกุศล นอกจากนี้ยังเป็นช่างภาพที่บันทึกภาพการเสด็จพระราชดำเนินสหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรีจำกัด ในการเสด็จฯ เปิดโรงนมหนองโพ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2515

นายอวยไชย ได้นำกล้องบันทึกภาพ ยี่ห้อ nikomat รุ่น ฟิล์ม 36 มิลลิเมตร เลนส์ Nikon 50 บาท 1:52 ปี พร้อมด้วยกล้อง Rolleifex ขนาดฟิล์ม 6×6 ซึ่งเป็นกล้องที่ประทับใจและยังคงความเป็นสมบัติชิ้นสำคัญที่สุด และเป็นกล้องที่ใช้บันทึกภาพที่พระองค์ทรงเสด็จพระราชดำเนินมา ณ วัดโชติทายการาม พร้อมด้วย โรงนมหนองโพ นอกจากนี้ยังเป็นกล้องที่บันทึกภาพขณะที่ตนเองเข้าเฝ้าฝ่าละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าฯ ถวายเงิน โดยเสด็จพระราชกุศลที่หน้าพระอุโบสถ วัดโชติทายการาม เมื่อวันที่ 4 พ.ย.2510 ด้วย นำออกมาเพื่อแสดงให้เห็นว่าแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 50 ปี แต่ตนเองยังคงเก็บดูแลรักษาไว้ เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่วงศ์ตระกูล อีกทั้งกล้องทุกตัวยังคงมีภาพพร้อมใช้งาน แม้อุปกรณ์บางชิ้นจะสึกหรอเป็นไปตามกาลเวลา

นายอวยไชย เจ้าของห้องภาพนิวเทคนิค เล่าให้ฟังว่า ตนยังคงจำภาพเหตุการณ์ในวันนั้นได้เป็นอย่างดี ภาพทุกภาพยังคงตราตรึงในหัวใจและความทรงจำของตนเองและครอบครัว ซึ่งขณะนั้นตนเองมีอายุเพียง 32 ปี มีอาชีพเป็นช่างภาพ รับจ้างถ่ายภาพตามงานต่างๆ ทั่วไป ภายในอำเภอดำเนินสะดวก จนมาเปิดกิจการชื่อ ห้องภาพนิวเทคนิค ที่บริเวณตลาดน้ำดำเนินสะดวก และได้เข้าเป็นคณะกรรมการภายในวัดโชติทายการาม ได้รับความไว้วางใจจากคณะกรรมการของวัดให้เป็นผู้ที่คอยบันทึกภาพภายในงานทั้งหมด รวมทั้งการเสด็จพระราชดำเนิน

โดยในวันนั้นตรงกับวันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2510 เวลาประมาณ 12.00 น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ได้เสด็จฯมาบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐินต้น ณ วัดโชติทายการาม ในเทศกาลออกพรรษา ตามคำกราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จพระราชดำเนินของประชาชนชาวดำเนินสะดวกที่ปรารถนาจะได้เข้าเฝ้าชมพระบารมีของทั้งสองพระองค์ ซึ่งหลังจากที่ทั้ง 2 พระองค์ได้เสด็จทรงทอดผ้าพระกฐินต้นภายในพระอุโบสถเป็นที่เรียบร้อยจึงได้เสด็จฯออกมาประทับที่พระเก้าอี้ ที่หน้าพระอุโบสถเพื่อให้ประชาชนชาวดำเนินสะดวกทั้ง 100 ราย ที่ได้ประสงค์ที่จะนำเงินทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อโดยเสด็จเป็นพระราชกุศล

โดยตนเองได้มีโอกาสเข้าเฝ้าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทในการทูลเกล้าฯ ถวายเงินสดจำนวน 1,000 บาท เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในระหว่างที่ตนเองทูลเกล้าฯ ถวายเงิน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงตรัสว่า “นี่ช่างภาพ” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงแย้มพระสรวล ซึ่งตนเองได้ยินในใจคิดตลอดเวลาว่าเป็นพระคุณอย่างหาที่สุดมิได้และปลื้มปีติน้ำตาไหลซึม และก้มหน้าไม่กล้าที่จะมองพระพักตร์ของพระองค์ท่าน เมื่อทูลเกล้าฯ ถวายเงินเสร็จ จึงได้ถอยหลังออกไป เพื่อทำหน้าที่เป็นช่างภาพในการบันทึกภาพผู้ทูลเกล้าฯ ถวายเงินต่อ

นายอวยไชย ยังกล่าวอีกว่า จากผู้ที่เข้าทูลเกล้าฯ ถวายเงินทั้งหมดนั้น ตนเองมีอายุน้อยที่สุด มีอายุเพียง 32 ปี ส่วนคนอื่นๆ จะมีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ทำให้ปัจจุบันมีตนเองเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ ด้วยวัย 82 ปี และเป็นบุคคลที่ปรากฏในภาพถ่ายในวันเหตุการณ์ เสด็จฯ มาบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐินต้น ณ วัดโชติทายการาม ในเทศกาลออกพรรษา ตามคำกราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จพระราชดำเนินของประชาชนชาวดำเนินสะดวก วันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2510

ปัจจุบันห้องภาพนิวเทคนิค ได้ปิดตัวลง เนื่องจากอายุที่มากขึ้น แต่ยังคงเก็บภาพความทรงจำเหตุการณ์ในวันนั้นเอาไว้ พร้อมทั้งเก็บรักษากล้องถ่ายภาพที่ใช้ในการบันทึกภาพการเสด็จพระราชดำเนินของในหลวงรัชกาลที่ 9 เอาไว้อย่างดีที่สุด พร้อมทั้งน้อมนำเอาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาดำเนินการใช้ในชีวิตประจำวัน อีกทั้งยังออกช่วยเหลือสังคมด้วยจิตอาสา เข้าช่วยเหลืองานด้านมูลนิธิต่างๆ เพื่อน้อมรำลึกถึงในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ อีกทั้งยังภาคภูมิใจที่ครอบครัวประสบความสำเร็จ ลูกทั้ง 3 คนเรียนจบในระดับสูง ทั้งปริญญาโท และปริญญาตรี ทำงานเปิดกิจการเป็นของตัวเองทุกคน