เผยแพร่ |
---|
นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า ศูนย์ติดตามและพยากรณ์เศรษฐกิจการเกษตร (KOFC) ได้ศึกษาวิเคราะห์โครงการประชารัฐสวัสดิการ 46,000 ล้านบาท ตามรายชื่อผู้ลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย 11,431,681 คน ในจำนวนนี้เป็นเกษตรกร จำนวน 3,322,214 คน หรือประมาณ 30% และไม่ใช่เกษตรกร จำนวน 8,109,467 คน หรือ 70%
ทั้งนี้ KOFC ได้วิเคราะห์ ภายใต้สมมติฐาน ด้านการลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน การลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ภาพรวมพบว่าจะทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ ประมาณ 118,077.82 ล้านบาท และเมื่อพิจารณาผลกระทบในภาคเกษตร ที่มีเกษตรกร 3.32 ล้านคน ใช้งบประมาณ 13,368.59 ล้านบาท จะทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจในภาคเกษตร 21,215.50 ล้านบาท แบ่งเป็น มูลค่าในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคมากที่สุด มูลค่า 21,134.27 ล้านบาท รองลงมาเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง มูลค่า 70.73 ล้านบาท และส่วนลดในการซื้อก๊าซหุงต้ม มูลค่า 10.50 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาโครงการนี้ที่มีผลต่อภาคการเกษตรตามรายสาขา พบว่า สาขาการผลิตที่เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ การทำนา มูลค่า 8,542.02 ล้านบาท การเลี้ยงสัตว์ปีก มูลค่า 2,753.76 ล้านบาท การเลี้ยงสุกร มูลค่า 2,270.93 ล้านบาท การทำไร่พืชตระกูลถั่ว มูลค่า 1,235.53 ล้านบาท และการปศุสัตว์ มูลค่า 1,177.83 ล้านบาท
ซึ่งโครงการนี้ KOFC เห็นว่าเกิดประโยชน์ต่อภาคการเกษตรอย่างแท้จริง แต่ภาครัฐควรเน้นการแก้ปัญหาไปที่การพัฒนาความรู้ทักษะการประกอบอาชีพที่มีความสอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นการพึ่งพาตัวเองอย่างยั่งยืน ซึ่งโครงการบัตรสวัสดิการอาจเป็นการสร้างภาระให้กับภาครัฐในการบริหารงบประมาณจำนวนมหาศาล
ดังนั้น ในระยะต่อไปควรปรับแนวคิดจาก รัฐสวัสดิการ (Welfare) ให้เป็นการพัฒนาทักษะเพื่อพัฒนาอาชีพ (Workfare) เพิ่มมากขึ้น เน้นให้ผู้เดือดร้อนที่ยังพอมีศักยภาพอยู่สามารถพัฒนาตนเองให้พึ่งตนเองได้ หรือกลับเข้าไปแข่งขันในตลาดแรงงานได้อย่างสมบูรณ์ ควรเพิ่มมาตรการในการตรวจสอบข้อมูลอย่างเข้มงวด รวมไปถึงการกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่แจ้งข้อมูลเท็จโดยเฉพาะกลุ่มคนในระบบภาษี ทั้งนี้ ในอนาคตควรสร้างความหลากหลายในการบริการสวัสดิการเพื่อรองรับทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยต้องหาความต้องการที่แท้จริงในแต่ละกลุ่มเป้าหมายก่อน
นายกัมปนาท เพ็ญสุภา ผู้อำนวยศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) กล่าวว่า เงื่อนไขของโครงการประชารัฐสวัสดิการ กำหนดให้สิทธิ์กับผู้มีรายได้น้อยตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป ซึ่งไม่สอดคล้องกับคุณสมบัติของผู้ใช้แรงงานที่กำหนดอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป ซึ่งมีอยู่จำนวนมากในต่างจังหวัด คนกลุ่มนี้ไม่มีสิทธิ์ได้เข้าร่วมและต้องหางานทำ ในขณะที่ผู้อายุ 18 ปีส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่ผู้ปกครองมีรายได้ ทำให้การช่วยเหลือของโครงการนี้ไม่ตรงกับเป้าหมายนัก ดังนั้นรัฐบาลควรทบทวนกรณีนี้และควรพิจารณาไปถึงรายได้ของผู้ปกครองด้วย
ที่มา ข่าวสดออนไลน์