เผยแพร่ |
---|
นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความปลอดภัยในการเดินทางด้วยรถสาธารณะของประชาชน คณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง จึงกำหนดมาตรการนำรถโดยสารขนาดเล็กมาตรฐาน 2 (จ) จำนวนที่นั่งไม่เกิน 20 ที่นั่ง (ที่ไม่ใช่ลักษณะรถตู้) และหรือรถโดยสารมาตรฐาน 2 (ค) จำนวนที่นั่งตั้งแต่ 21-30 ที่นั่ง ที่ต้องมีระบบเบรกแบบ ABS (Anti-lock Brake System) หรือระบบห้ามล้อแบบอื่นที่มีมาตรฐานเท่ากันหรือสูงกว่า พร้อมติดตั้ง GPS Tracking และอุปกรณ์แสดงผลความเร็ว (Speed Monitor) ตามมาตรฐานที่กรมการขนส่งทางบกกำหนดมาเปลี่ยนทดแทนรถตู้โดยสาร
แต่เพื่อลดผลกระทบของผู้ประกอบการให้มีช่วงเวลาปรับตัวจึงได้กำหนดระยะเวลาแบบเป็นขั้นตอน โดยจะเริ่มทดแทนเฉพาะรถตู้โดยสารที่ครบอายุการใช้งาน (ครบ 10 ปี) ก่อน ซึ่งจะทยอยเปลี่ยนในเส้นทาง หมวด 2 กรุงเทพฯ-ต่างจังหวัดทุกเส้นทาง และหมวด 3 ระหว่างจังหวัดกับจังหวัด เฉพาะเส้นทางที่มีจุดจอดรับ-ส่งผู้โดยสารระหว่างทาง มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2560 เป็นต้นไป
ส่วนเส้นทางหมวด 1 และหมวด 4 ที่ให้บริการในกรุงเทพมหานครและในภูมิภาค รวมถึงเส้นทางหมวด 3 วิ่งระหว่างจังหวัดกับจังหวัด ที่ไม่มีจุดจอดรับ-ส่งผู้โดยสารระหว่างทาง มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2562 เป็นต้นไป ทำให้ผู้ประกอบการขนส่งที่จะเข้าหลักเกณฑ์ปี 2562 ขณะนี้ ยังสามารถนำรถตู้โดยสารมาเปลี่ยนทดแทนคันเดิมได้จนถึงวันที่ 30 ก.ย. 2562 แต่กำหนดเงื่อนไขต้องเป็นรถใหม่ หรือรถที่มีอายุการใช้งานไม่เกิน 2 ปี และจะมีระยะเวลาในการวิ่งบริการในเส้นทางรวมแล้วไม่เกิน 10 ปี นับจากวันที่จดทะเบียนรถครั้งแรก ทั้งยังต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการเดินรถอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะรถตู้โดยสารหมวด 3 ต้องแสดงข้อความ “ห้ามรับ-ส่งผู้โดยสารระหว่างทาง” ด้านหน้ารถและด้านข้างรถ
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมการขนส่งทางบกได้ดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวแบบเป็นขั้นตอนมาอย่างต่อเนื่อง มีการสร้างความเข้าใจเพื่อให้เกิดความร่วมมือ เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนลดผลกระทบของผู้ประกอบการ มีช่วงเวลาปรับตัว รองรับภาคการผลิตในประเทศ ควบคู่กับการกำหนดมาตรการช่วยเหลือที่เหมาะสมเพื่อจูงใจและลดผลกระทบของผู้ประกอบการ อาทิ การสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรวมตัวกันจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล หรือสหกรณ์เพื่อการเดินรถ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับการจัดหารถโดยสารขนาดเล็ก หารือกับสถาบันการเงินเรื่องการค้ำประกันเงินกู้และจัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ
นอกจากนี้ จะมีการติดตามประเมินผลหลังจากเริ่มใช้รถโดยสารขนาดเล็กในการให้บริการ เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มอัตราการใช้บริการของประชาชน พร้อมกันนี้ ได้ว่าจ้างสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ศึกษาโครงสร้างต้นทุนการประกอบการและแนวทางอุดหนุนรถโดยสารประจำทางทั้งระบบ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
ที่มา ข่าวสดออนไลน์