จ่อคลอดพ.ร.บ.น้ำ มีผล พ.ย. เรียกเก็บค่าน้ำ ท่องเที่ยว เกษตร อุตสาหกรรม ไม่เกิน 3 บาทต่อลบ.ม.

21318832 - charming waterfront cottage in kanchanaburi, thailand
อธิบดีกรมฯน้ำ แจงร่าง พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ เผยการจัดสรรน้ำ 3 ประเภท เรียกเก็บเงินการใช้น้ำด้านเกษตร เลี้ยงสัตว์ เพื่อการพาณิชย์ เก็บน้ำไม่เกิน 50 สตางค์ต่อลบ.ม. ด้านท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร เก็บ 1-3 บาท ขณะที่ภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เรียกเก็บไม่ต่ำกว่า 3 บาท ย้ำ ต.ค.-พ.ย.60 มีบังคับใช้ พ.ร.บ.น้ำทันที

เมื่อวันที่ 28 กันยายน ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) นายวรศาสน์ อภัยพงษ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ จัดแถลงข่าวการจัดทำร่าง พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ…. โดยนายวรศาสน์กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่ความเสี่ยงเรื่องทรัพยากรน้ำ รัฐบาลจึงต้องมีกลไกการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำที่รัฐบาลผลักดันอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติในขณะนี้ หากมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายจะอยู่ภายใต้คณะกรรมการทรัพยากรนํ้าแห่งชาติ (กนช.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน

นายวรศาสน์กล่าวว่า การจัดสรรน้ำจึงเป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญในการบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอ ซึ่งระบบการจัดสรรน้ำจะสร้างสิทธิในการเข้าถึงน้ำสาธารณะที่หมายถึง แม่น้ำ ลำคลอง บึง แหล่งน้ำใต้ดิน ทะเลสาบ และแหล่งน้ำตามธรรมชาติอื่นๆ ทั้งที่รัฐจัดสร้างหรือพัฒนาขึ้น เพื่อให้ใช้ประโยชน์ร่วมกันอย่างเป็นธรรม ทั้งนี้ กฎหมายได้กำหนดประเภทการใช้น้ำไว้ 3 ประเภท คือ ประเภทที่ 1 ใช้นํ้าเพื่อการดำรงชีพ ไม่ต้องเสียค่าใช้นํ้า ประเภทที่ 2 ใช้นํ้าด้านการเกษตร เลี้ยงสัตว์เพื่อการพาณิชย์ เก็บค่าน้ำไม่เกิน 50 สตางค์ต่อลบ.ม. ด้านการท่องเที่ยว โรงแรม สถานที่พักผ่อน ร้านอาหาร เก็บค่าน้ำ 1-3 บาทต่อลบ.ม. และธุรกิจสนามกอล์ฟ การผลิตพลังงานไฟฟ้า การประปาสัมปทาน เก็บค่าน้ำไม่เกิน 3 บาทต่อลบ.ม. และประเภทที่ 3 สำหรับภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ การผลิตพลังงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ และกิจการอื่นๆ ที่ใช้น้ำในปริมาณมากตามมติของ กนช. เก็บค่าน้ำไม่ต่ำกว่า 3 บาทต่อลบ.ม.

“ทั้งนี้ คาดว่าในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน จะมีผลบังคับใช้กฎหมายร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว จากนั้นภายใน 180 วันจะมีการออกกฎหมายลูกที่เกี่ยวข้องกับ พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ โดยจะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนทั่วประเทศอีกครั้งโดยเฉพาะเรื่องอัตราการเก็บค่าน้ำ ก่อนจะออกเป็นกฎกระทรวง” อธิบดีกรมน้ำกล่าว

อธิบดีกรมน้ำกล่าวว่า สำหรับมติ กนช.ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานนั้น ได้สั่งการให้ย้ายกรมน้ำ ขึ้นตรงกับสำนักนายกรัฐมนตรี เนื่องจากที่ผ่านมาการบริหารจัดการน้ำมีหลายหน่วยงานและขาดหน่วยงานที่จะมาควบคุมกำกับโดยตรง ทำให้ขั้นตอนในการสั่งการมีความล่าช้า ซึ่งการย้ายไปยังสำนักนายกฯ จะทำให้สะดวกในการแก้ปัญหาน้ำที่เป็นปัญหาเร่งด่วนของประเทศไทยในขณะนี้