สรยุทธเข้าเรือนจำ-อุทธรณ์ยืนคุก13ปีคดีช่อง9 ฎีกายกประกัน-ทนายจ่อยื่นอีก ห่วงแม่ป่วยหนัก

“สรยุทธ” ไม่ได้ประกัน โดนส่งตัวเข้าเรือนจำ หลังศาลอุทธรณ์พิพากษายืน สั่งจำคุก 13 ปี4 เดือน ในคดีสนับสนุนพนักงาน อสมท. ทุจริต จัดคิวโฆษณาทำต้นสังกัดเสียหาย 138 ล้าน โดยศาลฎีกามีคำสั่งยังไม่ให้ประกันตัวจำเลยในชั้นนี้ จึงให้ยกคำร้อง

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 29 ส.ค. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำที่ อ.313/2558 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด หรือนางชนาภา บุญโต พนักงานจัดทำคิวโฆษณาของ บมจ.อสมท, บริษัทไร่ส้ม จำกัด โดยน.ส.อังคนา วัฒนมงคลศิลป์ และน.ส. สุกัญญา แซ่ลิ่ม ในฐานะ กก.ผจก.บจก.ไร่ส้ม, นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา อายุ 51 ปี อดีตพิธีกรรายการข่าวชื่อดังและกก.ผจก.บจก.ไร่ส้ม และน.ส.มณฑา ธีระเดช อายุ 45 ปี พนักงาน บจก.ไร่ส้ม เป็นจำเลย 1-4

ในความผิดฐาน เป็นพนักงานเรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งหน้าที่ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่, เป็นพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่องค์กร, เป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และสนับสนุนพนักงานกระทำความผิดดังกล่าว ตาม พ.ร.บ.ว่า ด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 ม.6,8,11

โดยคดีนี้อัยการได้ยื่นฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 30 ม.ค. 58 บรรยายพฤติการณ์ สรุปว่า เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 48 – 28 เม.ย. 49 ต่อเนื่องกันนางพิชชาภา พนักงานจัดทำคิวโฆษณาของ บมจ.อสมท จำเลยที่ 1 ได้จัดทำคิวโฆษณารวม ในรายการ “คุย คุ้ยข่าว” ซึ่งก่อนออกอากาศนางพิชชาภาใช้อำนาจหน้าที่โดยทุจริต ไม่รายงานการโฆษณาเกินเวลาเพื่อเรียกเก็บค่าโฆษณาเกินเวลา จาก บจก.ไร่ส้ม จำเลยที่ 1 จำนวน 17 ครั้ง ทำให้ บมจ.อสมท เสียหาย 138,790,000 บาท และยังได้เรียกรับเอาเงิน 658,996 บาทจากจำเลยที่ 2-4 เพื่อเป็นการตอบแทนที่นางพิชชาภา ไม่รายงานการโฆษณา ซึ่งเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยหน้าที่และเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดย มิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ บมจ.อสมท โดยมีจำเลยที่ 2-4 เป็นผู้สนับสนุนช่วยเหลือ ให้ความสะดวกในการกระทำผิด และมอบเช็ค ธ.ธนชาต สาขาพระราม 4 สั่งจ่ายเงินให้นางพิชชาภา เหตุเกิดที่แขวง-เขตห้วยขวาง กทม. จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธต่อสู้คดี

โดยเมื่อวันที่ 29 ก.พ. 59 ที่ผ่านมา ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า นางพิชชาภา อดีต พนักงาน บมจ.อสมท จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การของรัฐ มาตรา 6 ,8,11 ส่วนบจก.ไร่ส้ม, นายสรยุทธ, น.ส.มณฑา พนักงาน บ.ไร่ส้ม จำเลยที่ 2-4 มีความผิดฐานสนับสนุนตาม ซึ่งการกระทำของจำเลยทั้งสี่ เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การของรัฐ ม.6 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษสุด

โดยพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1-4 รายละ 6 กระทง ให้จำคุกนางพิชชาภา จำเลยที่ 1 ฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับหรือยอมรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ 6 กระทง กระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 30 ปี

และปรับ บจก.ไร่ส้ม จำเลยที่ 2 กระทงละ 20,000 บาทรวม 6 กระทง ปรับทั้งสิ้น 120,000 บาท ส่วนนายสรยุทธ จำเลยที่ 3 และน.ส. มณฑา จำเลยที่ 4 จำคุก 6 กระทง กระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวมจำคุกคนละ 20 ปี

แต่ทางนำสืบเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ศาลจึงลดโทษให้ 1 ใน 3 จึงให้จำคุก นาง พิชชาภา อดีตพนักงาน บมจ.อสมท จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 20 ปี ส่วนนายสรยุทธ และน.ส.มณฑา พนักงาน บ.ไร่ส้ม จำเลยที่ 3-4 จำคุกคนละ 13 ปี 4 เดือน ขณะที่การกระทำของจำเลยทั้งสามนี้ ศาลเห็นว่าไม่มีเหตุสมควร รอการลงโทษ จึงไม่รอลงอาญา ส่วน บจก.ไร่ส้ม จำเลยที่ 2 ให้ปรับรวม 80,000 บาท

โดยนางพิชชาภา, นายสรยุทธ และน.ส. มณฑา จำเลยที่ 1, 3, 4 ได้ประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ หลังยื่นเงินสดซึ่งศาลตีราคาประกันคนละ 2 ล้านบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล รวมทั้งให้จำเลยมารายงานตัวต่อศาลด้วยทุก 30 วัน

ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการจัดทำคิว และทราบความเป็นไปของรายละเอียดการโฆษณาตั้งแต่แรกเริ่ม เป็นสามัญสำนึกในหน้าที่จะต้องทำงานเพื่อประโยชน์ของรัฐ จะอ้างว่ามีช่องว่างทางการตรวจสอบไม่ได้ เมื่อการโฆษณาเกินส่วนต้องเสียค่าโฆษณา แต่จำเลยที่ 1 ใช้น้ำยาลบคำผิดในใบคิวโฆษณาของจำเลยที่ 2 แม้ข้ออ้างว่าทำไปเพราะตกใจกลัวจะต้องรับผิดก็เป็นข้ออ้างที่ไม่มีน้ำหนัก อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น

ส่วนจำเลยที่ 3 นายสรยุทธเป็นกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 2 ซึ่งร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 จึงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดได้ และที่จำเลยที่ 2 และ 3 อ้างว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลบรายการในใบคิวโฆษณาของจำเลยที่ 1 เห็นว่า จำเลยที่ 1 ให้การยอมรับเกี่ยวกับเหตุผลในการลบรายการ ในใบคิว และอ้างว่าได้รับการร้องขอจากจำเลยที่ 3 ในขณะที่จำเลยที่ 2 และ 3 กล่าวอ้างลอยๆ จึงไม่น่าเชื่อถือ

ส่วนคุณงามความดีของจำเลยที่ 3 ที่กล่าวอ้างเป็นเรื่องประวัติและความดีของจำเลยที่ 3 อันเป็นคนละส่วนกับพฤติการณ์แห่งการ กระทำความผิด ซึ่งศาลต้องพิเคราะห์ตาม พยานหลักฐานที่ปรากฏจากการไต่สวน ข้อเท็จจริงแห่งคดีฟังได้ว่า จำเลยทั้ง 4 กระทำความผิดหลายกรรมด้วยการมอบเช็ค 6 ฉบับตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา อุทธรณ์จำเลยทั้ง 4 ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลได้ใช้เวลาในการอ่านคำพิพากษานานประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อศาลได้อ่านคำพิพากษาจนแล้วเสร็จ นายสรยุทธ ถึงกับใบหน้าแดงก่ำ และกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า จะยื่นฎีกาต่อสู้คดีต่อไปทั้งข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายในทุกประเด็น ส่วนจะมีประเด็นอะไร เพิ่มเติมต้องขอประกันตัว เพื่อปรึกษาทีมทนาย ก่อน

ต่อมาเวลา 12.50 น. ศาลได้พิจารณาคำร้อง ขอปล่อยชั่วคราวนายสรยุทธ และจำเลยร่วมทั้งหมดแล้ว ซึ่งจำเลยได้ยื่นหลักทรัพย์เงินสด และบัญชีเงินฝากคนละ 4 ล้านบาท จากหลักทรัพย์เดิมที่ใช้ประกันตัวในชั้นอุทธรณ์ ตีราคา ประกันคนละ 2 ล้านบาท ศาลเห็นควรส่งคำร้องให้ศาลฎีกาเป็นผู้สั่งประกันต่อไป โดยศาลอาญาทุจริตฯ ได้ออกหมายขังจำเลยทั้งหมด เพื่อให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมตัวไปคุมขังไว้ที่เรือนจำก่อนระหว่างรอฟังคำสั่งการประกันตัวจากศาลฎีกา คาดว่าน่าจะใช้เวลา ระยะหนึ่ง

ต่อมาเวลา 16.30 น. ศาลฎีกามีคำสั่งเกี่ยวกับการประกันตัวถึงศาลอาญาทุจริตฯ ที่นายสรยุทธ และเจ้าหน้าที่บจก.ไร่ส้ม กับอดีตพนักงาน บมจ.อสมท จำเลยได้ยื่นคำร้องหลักทรัพย์คนละ 4 ล้านบาท เพื่อขอประกันตัวสู้คดี

โดยนายมนต์อนันต์ เรืองจรัส ทนายความของนายสรยุทธ และคณะได้เข้าฟังคำสั่งของศาลฎีกา ซึ่งศาลฎีกาได้พิเคราะห์คำร้องและหลักทรัพย์ในการประกันตัวของจำเลยทั้ง 3 รายเเล้วเห็นมีคำสั่งยังไม่ให้ประกันตัวจำเลยในชั้นนี้จึงให้ยกคำร้อง

สำหรับการยื่นคำร้องประกันตัวใหม่นั้น จำเลยทั้ง 3 สามารถยื่นได้ในเวลาต่อไปจนกว่า คดีจะมีคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีหลักออกมา เพียงแต่การยื่นคำร้องใหม่นั้นจำเลยจะต้องระบุเหตุและข้อเท็จจริงใหม่เพียงพอที่จะเปลี่ยน แปลงคำสั่งเดิมของศาลฎีกาซึ่งเป็นศาลสูง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต่อมาเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ควบคุมตัวนายสรยุทธ และจำเลยคนอื่นมาขึ้นรถตู้ ก่อนส่งตัวไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯต่อไป ส่วนผู้ต้องขังหญิงคุมตัวไว้ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง

รายงานข่าวแจ้งว่า ตามหลักของประมวลวิธีพิจารณาอาญาซึ่งมาตรา 218 บัญญัติว่า ในคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่าง หรือเพียงแต่แก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งในคดีของนายสรยุทธทั้งสองศาลมีคำพิพากษาลงโทษยืนจำคุก 13 ปี 4 เดือน เมื่อนับเรียงกระทง ลงโทษเเล้ว เเต่ละกระทงโทษไม่เกิน 5 ปี ซึ่งเป็นเเนวต้องห้ามฎีกา การจะฎีกาได้นั้น จะต้องดำเนินการตามมาตรา 221 ที่บัญญัติว่า หากจำเลยได้มีผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีนั้น หรือผู้พิพากษาที่ทำความเห็นแย้งคดีนั้นไว้ในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ หรืออัยการสูงสุดได้ลงชื่อรับรองในฎีกาว่ามีปัญหาสำคัญที่ควรสู่ศาลสูง และอนุญาตให้ฎีกา โดยมีเหตุอันควร ที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัยก็ให้ยื่นฎีกานั้นได้

นายกฤช กระแสร์ทิพย์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงกรณีนายสรยุทธ ว่า เมื่อช่วงเย็นวันนี้ ทางเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯได้รับตัวนายสรยุทธมาควบคุมไว้ยังแดน 1 ซึ่งเป็นแดนแรกรับของเรือนจำ โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำประวัติผู้ต้องขัง ตรวจสุขภาพร่างกาย และเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเหมือนกับผู้ต้องขังปกติที่ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำระหว่างรอการพิจารณาประกันของศาล

นายกฤช กล่าวต่อว่า จากการตรวจสุขภาพร่างกาย พบว่านายสรยุทธมีโรคประจำตัว คือ ไขมันและความดันสูง อีกทั้งนายสรยุทธมีความกังวลและเครียด ในเรื่องที่ไม่ได้รับการประกันตัว อย่างไรก็ตามได้พบกับนายสรยุทธแล้วเพียงเวลาสั้นๆ โดยบอกให้นายสรยุทธค่อยๆ ปรับตัวในการใช้ชีวิตอยู่ภายในเรือนจำ ทั้งนี้นายสรยุทธไม่ได้ร้องขออะไรเป็นพิเศษจากเรือนจำแต่อย่างใด หลังรับตัวได้จัดอาหารมื้อเย็นให้ ซึ่งเมนูมื้อเย็นของเรือนจำวันนี้คือข้าวสวย กับแกงเผ็ดหมู ซึ่งนายสรยุทธก็สามารถกินได้ เพราะตลอดทั้งวันที่ผ่านมา นายสรยุทธต้องใช้เวลาอยู่ที่ศาลทั้งวันและคงไม่ได้กินอะไร

ขณะที่คนใกล้ชิดของนายสรยุทธ เปิดเผยว่านายสรยุทธไม่ได้มีอาการเครียดมาก ยังมีกำลังใจดี เพราะได้ทำใจมาบ้างแล้ว แต่ที่ต้องห่วงคือเรื่องสุขภาพ เพราะนายสรยุทธมีโรคประจำตัวคือเลือดข้น ต้องกินยาละลายลิ่มเลือดเป็นประจำ ที่ผ่านมาเคยมีอาการเลือดออกในกระเพาะและลำไส้ใหญ่ ทำให้เสียเลือดมากและต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล อีกทั้งมีความเป็นห่วงสุขภาพของคุณแม่ที่ขณะนี้อายุมากและกำลังป่วยหนัก ยันจะต่อสู้ในศาลฎีกาต่อไปและอยู่ระหว่างการยื่นขอประกันตัว

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนช่อง3