ปลูกมะคาเดเมีย เจาะตลาดคนรักสุขภาพ ไม่ต้องห่วงเรื่องผลผลิตล้นตลาด ราคาซื้อขายในระดับมาตรฐานสากล

ทุกวันนี้ ผู้คนจำนวนมากหลงเชื่อโฆษณา ซื้อวิตามินและอาหารเสริมบำรุงร่างกายกันอย่างเต็มที่เพื่อหลีกหนีโรคภัยนานาชนิด  ความจริงแล้ว  การกินอาหารไม่ถูกส่วน กินวิตามินมากเกินไป อาจทำให้ร่างกายเจ็บป่วยได้ เช่น กินอาหารเสริมประเภทสารเบตา-แคโรทีน มากเกินไป เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอดได้ง่าย

หากใครต้องการดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงสมบูรณ์ ขอแนะนำให้กิน “ มะคาเดเมีย ” ที่ได้ชื่อว่าเป็น “ราชาแห่งถั่ว”  เป็นประจำ มะคาเดเมีย มีรสชาติอร่อยสุดๆ แล้ว ยังเป็นถั่วที่อุดมไปด้วยวิตามินมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย หากกินเป็นประจำจะช่วยถนอมหัวใจเพราะมะคาเดเมีย มีไขมันไม่อิ่มตัว ช่วยลดโคเลสเตอรอล LDL ซึ่งเป็นไขมันตัวร้ายในเส้นเลือด ลดความเสี่ยงจากอาการเส้นเลือดอุดตัน สาเหตุหนึ่งของโรคหัวใจและหลอดเลือด

มะคาเดเมียกระเทาะเปลือกแล้ว

มีผลงานวิจัยยืนยันว่า การบริโภคมะคาเดเมีย ร่างกายจะได้รับกรดไขมันไม่อิ่นตัวสูงถึง 40% ช่วยลดน้ำหนักได้เหมือนอาหารไขมันต่ำ ลดไขมันโคเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ได้มากกว่า 5%  ด้าน “ น้ำมันมะคาเดเมีย” ก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพสูง เพราะช่วยเร่งการเผาผลาญพลังงานในร่างกายเพิ่มขึ้น ช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดี และลดโคเลสเตอรอล

ตลาดเติบโตทุกปี

“ แมคคาเดเมีย ” เป็นพืชที่มีพื้นเพดั้งเดิมอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย  ถูกนำเข้ามาปลูกในรัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อค้นคว้าและพัฒนา จนกลายเป็นสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรส่งออกที่มีความสำคัญของโลกและถือเป็นถั่วที่มีราคาแพงที่สุดในโลกไปแล้ว

“มะคาเดเมีย ”เป็นถั่วที่มีรสชาติอร่อยสุดยอด  เป็นสินค้าขายดี เป็นที่ต้องการของตลาดทั่วโลก และมะคาเดเมีย ยังเป็นพืชชนิดเดียวที่ไม่ถูกกีดกันทางการค้าจากองค์การค้าโลก( WTO)   เกษตรกรจึงไม่ต้องห่วงเรื่องผลผลิตล้นตลาด มะคาเดเมียมีราคาซื้อขายในระดับมาตรฐานสากล ไม่เหมือนพืชเศรษฐกิจตัวอื่นที่มีราคาขึ้น-ลงไม่แน่นอน

ตลาดมะคาเดเมียเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะกลุ่มผู้รักสุขภาพ ปัจจุบัน  มะคาเดเมีย กำลังเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหมที่ได้รับความสนใจจากเกษตรกรทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย  ทุกวันนี้  เกษตรกรไทยเริ่มหันมาสนใจปลูกแมคคาเดเมียกันอย่างกว้างขวางทั้งในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน  เช่น  เลย  เชียงใหม่  เชียงราย เพชรบูรณ์  ชัยภูมิ  ฯลฯ

เรียนรู้เรื่องมะคาเดเมีย อย่างครบวงจรที่

“ วิสาหกิจชุมชนมะคาเดเมียนัต บ้านบ่อเหมืองน้อย อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย ” เป็นหมู่บ้านเพื่อความมั่นคง ตั้งอยู่ในเขตอุทยานภูสันทราย  หลังศึกร่มเกล้า เมื่อทหารรับชาวบ้านเข้าไปอยู่เป็นหมู่บ้านเพื่อความมั่นคง  ทางทหารได้ส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกต้นมะคาเดเมีย เพื่อสร้างรายได้  ครอบครัวละ 50 ต้น ตั้งแต่ปี 2533 แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ค่อยนิยมปลูกเพราะต้นแมคคาเดเมีย ใช้ระยะเวลาปลูกนานกว่าจะให้ผลผลิต หากดูแลอย่างดีต้องใช้เวลาประมาณ 6-7 ปี แต่หากปลูกแบบชาวบ้าน ไม่ค่อยดูแล ต้องใช้เวลาตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปจึงจะได้ผล

วิสาหกิจชุมชนมะคาเดเมียนัต บ้านบ่อเหมืองน้อย อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย ภายใต้การนำของคุณนรรถพร สุโพธิ์ ประธาน ได้นำสมาชิกจำนวน  75 ครอบครัว   ที่ปลูกแมคคาเดเมีย เก็บเกี่ยวผลผลิตนำวางขายในท้องตลาด ตั้งแต่ปี 2545-2546   ต่อมาหน่วยงานภาครัฐ  เช่น  สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช ) ได้ส่งเจ้าหน้าที่ด้านวิชาการเข้ามาช่วยเหลือด้านการแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม  และกระทรวงสาธารณสุข เข้ามาช่วยดูแลเรื่องมาตรฐานความสะอาด จนได้รับเครื่องหมาย อย. และได้ตรามาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.)

เคล็ดลับทางการค้าที่ช่วยให้สินค้าแมคคาเดเมีย ของกลุ่มฯ แห่งนี้ขายดีเทน้ำเทท่า เพราะ ทางกลุ่มฯ จะไม่กะเทาะเปลือกมะคาเดเมียทิ้งไว้นาน จะอบมะคาเดเมียทั้งกะลาไว้ก่อน เมื่อถึงเวลาจำหน่าย จึงค่อนนำออกมากะเทาะเปลือกอีกครั้ง ทำให้ สามารถรักษาคุณภาพสินค้าให้ใหม่สดกว่าสินค้าที่จำหน่ายในท้องตลาดทั่วไป เมล็ดโต และขายราคาถูกอีกต่างหาก

แปรรูปน้ำมัน สร้างมูลค่าเพิ่ม      

ปลูกดูแลง่าย

มะคาเดเมีย  เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ระยะเวลาปลูกและเก็บเกี่ยวประมาณ 60-80 ปี ทั้งดอกและเมล็ดสีขาวกะเทาะเปลือก ล้วนมีประโยชน์ต่อร่างกาย   การปลูกมะคาเดเมีย ตามหลักวิชาการนั้น  ต้องปลูกในระยะห่าง 8×10 เมตร ขนาดหลุม75 x 75 x 75 เซนติเมตร หรือ 1 x 1 x 1 เมตร ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ ของดินรองก้นหลุมด้วยหินฟอสเฟตหลุมละ 1-2 กิโลกรัม และใช้ปุ๋ยคอกปุ๋ยอินทรีย์ เช่น เศษซากพืชแห้ง แกลบหรือปุ๋ยหมัก คลุกเคล้ากับดิน ในระยะแรก สามารถปลูกพืชแซมเช่น  กาแฟ , สตรอเบอรี่, ผัก เป็นต้นในระหว่างแถวช่อง 10-12 ปีแรก

ส่วนเทคนิคการดูแลก็ไม่ยุ่งยากอะไร  เพียงใส่ปุ๋ย สูตร 15-15-15 , 12-12-17-2 และยูเรียโดยปีที่ 1,2,3 และ 4 ใส่ปุ๋ย 15-15-15 ต้นละ 400 , 800, 1,200 และ 1,800 กรัม และผสมยูเรีย 45, 90, 135 และ 180 กรัม ตามลำดับ ตั้งแต่ปีที่ 5 เป็นต้นไป ควรใส่ปุ๋ยสูตร 12-12-17-2 หรือ 13-13-21 อัตรา ต้นละ 2.5 กิโลกรัม และเพิ่มขึ้นปีละ 500 – 600 กรัม และผสมยูเรียเพิ่ม 10 เปอร์เซ็นต์ และโปแตสเซียม 15% ของปุ๋ยสูตร ทุกปี ปุ๋ยแห่งใส่ปีละ 4 ครั้ง คือ ช่วง 3 เดือน ก่อนออกดอก (ต.ค.-พ.ย.) ระยะติดผลขนาดเล็ก ระยะต้นฝน และปลายฝน

ด้านน้ไ ควรดูแลให้น้ำ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ระยะติดผลและผลกำลังพัฒนาไม่ควรขาดน้ำ  โดยทั่วไป มะคาเดเมียมีการตัดแต่งกิ่งน้อยมาก เพราะจะออกดอกภายในทรงพุ่มเป็นส่วนใหญ่ และออกจากกิ่งแขนงเล็กๆ อายุประมาณ 2 ปี การตัดแต่งจะทำระยะแรก ที่เริ่มปลูกคือ 6-12 เดือนแรก ต้องบังคับให้มีกิ่งหรือต้นประธานเพียง 1 กิ่ง เมื่อกิ่งประธานสูงเกิน 80-100 เซนติเมตร และยังไม่แตกกิ่งข้างต้องเด็ดยอดกิ่งประธานออก เพื่อให้กิ่งข้างแตกอย่างน้อย 2-3 กิ่ง และเลือกกิ่งตั้งตรงเพื่อใช้เป็นกิ่งประธาน ต่อไป หลังติดผลจะตัดเฉพาะกิ่งที่เป็นโรคและแน่นเกินไป

มะคาเดเมีย ที่ปลูกในพื้นที่สูง  จะออกดอกช่วง พ.ย. – ธ.ค. และ ก.ค. – ส.ค. ระยะเวลาดอกบานถึงแก่ประมาณ 6 – 9 เดือน ขึ้นกับบริเวณปลูกยิ่งสูงยิ่งเก็บช้า มะคาเดเมีย เมื่อแก่จะร่วงลงพื้น หลังเก็บผลต้องรับกะเทาะเปลือกเขียวข้างนอกออก เพราะถ้าผลกองรวมซ้อนกันมากๆ จะเกิดความร้อนทำให้เนื้อในคุณภาพไม่ดี

แปลงปลูกที่มีการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม หลังปลูก 4-5 ปี ต้นมะคาเดเมียจะเริ่มให้ผลผลิตปีแรก 1-3 กิโลกรัม ต่อต้น และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี 10 ปีขึ้นไป ให้ผลผลิต 20-30 กิโลกรัม ต่อต้น อายุ 20 ปีขึ้นไป 40 – 60 กิโลกรัมต่อต้น อายุให้ผลผลิตยาวนานไม่น้อยกว่า 50 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา

ต้นมะคาเดเมีย มักมีปัญหาเรื่องโรคและแมลงศัตรูพืช ค่อนข้างน้อยมาก  โรคที่สำคัญ ได้แก่  โรคโคนเน่าหรือเปลือกผุ แก้ไขได้โดยใช้สารพวก แคปเทนพ่นที่ต้นและราด ส่วนแมลงศัตรูพืชที่พบได้แก่ แมลงค่อมทอง มักกัดกิน ยอดอ่อน แก้ไขโดยใช้ยาเซฟวินฉีดพ่นช่วงระบาด  นอกจากนี้ยังเจอเพลี้ยอ่อนและหนอนแทะเปลือกลำต้นและเจาะกิ่ง หรือลำต้น มักเข้าทำลายต้นที่มีอายุ 1-3 ปี   และอาจเจอปัญหาหนูแทะเมล็ดทั้งกะลา สามารถกำจัดได้โดยใช้เหยื่อล่อ หรือใช้สังกะสีโอบรอบโคนต้น

การเก็บเมล็ดหลังกะเทาะเปลือกนอกออก ควรผึ่งในที่มีผมผ่านสะดวก หรือวางบนตะแกรงเป็นชั้นๆ เพื่อลดความชื้นขณะรอส่งขายหรือก่อนเข้าตู้อบเพื่อกะเทาะเปลือกแข็ง การขายผลผลิต อาจขายเป็นเมล็ดทั้งกะลา ความชื้นประมาณ 10-15 % หรือ กะเทาะกะลาออกและขายเนื้อในดิบ ความชื้นประมาณ 3-5%

หากใครสนใจปลูกมะคาเดเมีย แนะนำว่า ควรคัดเลือกพื้นที่ปลูกที่มีการระบายน้ำได้ดี มีหน้าดินลึก  ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 1,220 – 1500 มิลลิเมตรต่อปี  มะคาเดเมียเจริญเติบโตได้ดีในช่วงอุณหภูมิ 10 – 35 องศาเซลเซียส ช่วงฤดูหนาวมีอุณหภูมิระดับ 18 องศาเซลเซียส ลงมา นานประมาณ 1 เดือน เพื่อกระตุ้นในการออกดอก  ช่วงฤดูร้อน อุณหภูมิไม่ควรเกิน 35 องศาเซลเซียส เพราะจะทำให้กะลาแข็งตัวเร็ว เนื้อในเล็กและพืชชะงักการเจริญเติบโต

มะคาเดเมีย ควรเลือกพื้นที่ปลูกในแหล่งที่มีความชื้นสัมพัทธ์สูง ช่วงออกดอกและเริ่มติดผล 75% ขึ้นไป ควรได้รับแสงแดดอย่างน้อยวันละ 10-12 ชั่วโมง เพื่อให้ต้นมะคาเดเมียสามารถปรุงอาหารได้เต็มที่ จะช่วยให้เนื้อถั่วมีคุณภาพดีขึ้น  และ ควรปลูกหลายพันธุ์ในพื้นที่เดียวกัน เพื่อช่วยการผสมเกสรข้ามพันธุ์ ทำให้ติดผลมาก

 นอกจากนี้ แหล่งปลูกมะคาเดเมีย ควรมีไม้บังลมเพราะพืชที่มีระบบรากตื้น เสี่ยงต่อการโคนล้มได้ง่าย  ควรเป็นพื้นที่ที่สามารถให้น้ำได้ในช่วงฤดูแล้ง หากขาดน้ำจะทำให้ผลร่วงและมีขนาดเล็ก  เนื่องจากมะคาเดเมียเป็นพืชอุตสาหกรรม จึงต้องปลูกรวมกันในพื้นที่ขนาดใหญ่ประมาณ 1,000-1,500 ไร่ขึ้นไป เพื่อให้พอกับปริมาณที่ส่งโรงงานได้  ผลผลิตจะคุ้มทุนประมาณปีที่ 12-14 ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา และควรปลูกพืชแซมช่วง 10-12 ปีแรก

 

ที่มา เทคโนโลยีชาวบ้านออนไลน์