กู้ซื้อบ้านอยู่มาหลายปี พอจะขาย โฉนดดันสลับข้างบ้าน ช้ำหนัก ข้างบ้านเอาไปขายฝากจนถูกยึด

หนุ่มใหญ่น้ำตาตก ร่วมกู้ซื้อบ้านในภูเก็ตกับน้องชายอยู่อาศัยหลายปี พอจะขายพบโฉนดที่ถือดันสลับกับข้างบ้าน ทำให้ขายไม่ได้ ร้องเจ้าของโครงการยอมรับผิดแต่ให้เดินเรื่องเอง สุดท้ายแก้ไขไม่ได้เพราะติดหนี้แบงค์ ช้ำหนักเมื่อข้างบ้านเอาโฉนดบ้านตนที่สลับไปขายฝากจนถูกยึด ต้องออกจากบ้าน แถมต้องผ่อนหนี้ต่อ

วันที่ 4 มิ.ย.60 ผู้ใช้เฟสบุ๊กชื่อ “รุตม์ รัตรานนท์” ได้โพสต์ภาพ พร้อมข้อความลงในเฟสบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า “กรุณาอ่านสักนิดนะครับบทเรียนครับน้องชายคนบ้านนอกเก็บตังซื้อบ้านในภูเก็ตเขตฉลองอยู่มาหลายปีจะขายบ้านปรากฎว่าเลขโฉนดผิดแปลง ของเราไปอยู่บ้านเขา ของเขามาอยู่ของเรา ไปขอร้องส่วนราชการทุกๆที่ที่คิดว่าช่วยได้กลับช่วยไม่ได้สักที่ ไปกราบวิงวอนเจ้าของโครงการกลับได้รับคำปฏิเศษมาตลอดให้น้องชายไปเปลี่ยนแปลงแก้ไขด้วยตัวเอง เจ้าของโครงการยังมีชีวิตอยู่ แต่น้องชายเหมือนคนจะตายทั้งเป็นมาหลายปีแล้วเพราะบ้านอีกหลังพอรู้ว่าบ้านผิดแปลงเลยเอาบ้านน้องชายไปขายฝากจนปล่อยให้หลุด ตอนนี้คนขายฝากมายึดบ้านน้องชายอย่างจิตใจอำมหิตที่สุด เพื่อนๆพี่ผู้ใหญ่ที่รักความยุติธรรรมช่วยแชร์ให้ถึงทนายสงกรานต์ด้วยครับ อยากให้เป็นเคสตัวอย่างกับคนอื่น ให้ระวังเวลาซื้อบ้านด้วยครับ แต่ตอนนี้คนขายฝากเอาป้ายมาติดประกาศขายบ้านที่น้องชายซื้อมาและอาศัยอยู่อย่างใจดำ โดยไม่ถามเจ้าของบ้านเลย บอกให้ขนของออกจากบ้านอำมหิตจริงๆคนมีเงิน ดึงป้ายเดิมออกเอาป้ายของตัวเองมาติดว่า ขายด่วน ทำกันได้จริงๆคนสมัยนี้ และบ้านที่เอาบ้านน้องชายไปขายฝากอยู่สบายดี ส่วนตอนนี้น้องชายต้องกลับบ้านนอก วอนทนายสงกรานต์ช่วยด้วยครับ เพื่อนๆบอกให้จ้างทนายน้องชายคนไม่รวยครับคนบ้านนอกคอกนา ”

โดยทั้ง 2 ภาพ ที่โพสต์เป็นภาพหน้าหลังหนึ่ง มีป้ายระบุข้อความว่า “บ้านหลังนี้โฉนดผิดแปลง กำลังดำเนินการเปลี่ยนแปลง” พร้อมเบอร์โทรศัพท์ และอีก 1 ภาพเป็นภาพหน้าบ้านหลังเดียวกัน มีข้อความว่าขายด่วน และเบอร์โทรศัพท์

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยังผู้โพสต์ ทราบชื่อคือ นาย วรุตม์ รัตนรานนท์ เล่าว่า ภาพบ้านหลังดังกล่าว เป็นภาพบ้านเดี่ยวเลขที่ 55 ซอยเจ้าฟ้า 45(ซอยอู่รถ) ม.10 ต.ฉลอง อ.เมืองภูเก็ต ซึ่งเดิมทีเป็นของน้องชายชื่อ นาย สมปอง ประหลาดมานิต เป็นคนซื้อประมาณปี 2551 ในราคาประมาณ 3 ล้านกว่า ก่อนที่ตนเองได้เข้ากู้ร่วมเพิ่มในภายหลัง

สำหรับที่ดินปลูกสร้างบ้านดังกล่าว ทราบว่า เจ้าของโครงการซึ่งเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมัน ร่วมกับผู้จัดการธนาคารแห่งหนึ่งได้ร่วมหุ้นซื้อที่ดินและปลูกสร้างบ้านจำนวน 2 หลัง ลักษณะเหมือนกัน โดยเจ้าของโครงการได้กู้ไว้กับธนาคารกรุงศรีฯ เมื่อตนและน้องชายมาซื้อไว้ 1 หลัง ก็ต้องกู้ผ่านธนาคารกรุงศรีฯด้วยเช่นกัน ส่วนอีกหลังเป็นหญิงไทยชื่อเล่นว่าแหม่ม มีสามีชาวต่างชาติมาซื้อไว้ด้วยเงินสด

โดยหลังจากที่ตนและน้องชายซื้อมานานก็อยู่อาศัยกันมาตามปกติ กระทั่งไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้พูดคุยกับน้องชายและตัดสินใจจะขายบ้าน จึงปรึกษากับธนาคารกรุงศรีก่อนประเมินราคาได้ประมาณ 4 ล้านกว่าบาท ซึ่งขณะนั้นมีผู้สนใจเข้ามาดูบ้านจำนวนมาก

กระทั่งมีผู้ต้องการซื้อรายหนึ่งตัดสินใจซื้อ แต่ขอกู้ผ่านธนาคารกสิกรไทย จึงให้มีการรังวัดที่ดินก่อนการซื้อขาย ปรากฏว่าเอกสารโฉนดระบุว่าไม่ตรงแปลง โฉนดของตนเป็นของบ้านของ น.ส.แหม่ม และโฉนดของ น.ส.แหม่มเป็นที่บ้านของตน จึงเกิดโกลาหลขึ้นเพราะไม่สามารถซื้อขายได้ ตนเองพร้อมด้วยน.ส.แหม่มเจ้าของบ้านอีกหลังที่สลับกัน จึงรีบไปคุยกับเจ้าของโครงการ ซึ่งเจ้าของโครงการยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น แต่ขอให้ผู้ซื้อทั้งสองดำเนินการกันเอง โดยระบุว่าจะรับผิดชอบชดใช้ในส่วนเงินภาษีที่ดิน

จากนั้น ตนจึงไปปรึกษาธนาคาร แต่ธนาคารปฏิเสธการดำเนินการให้ โดยระบุว่าตนเองจะต้องจ่ายเงินปิดหนี้ทั้งหมด ซึ่งมีประมาณ 2 ล้านกว่าบาทให้แล้วเสร็จก่อนจึงจะสามารถดำเนินการได้ แต่เนื่องจากตนเองไม่มีเงิน และไม่สามารถขายบ้านได้ ตนจึงต้องเข้าปรึกษากับหลายหน่วยงานทั้ง ที่ดินจังหวัดซึ่งระบุว่าสามารถทำได้แต่ต้องเอาโฉนดตัวจริงจากธนาคารมาดำเนินการ แต่ธนาคารไม่ยอม จึงล้มเหลว

จากนั้นได้เดินทางไปขอความช่วยเหลือที่สำนักงานอัยการ โดยฝ่ายกฏหมายได้พยายามไกล่เกลี่ยโดยประสานไปยังธนาคารว่าให้นำเอกสารโฉนดมาดำเนินการ แต่ก็ติดปัญหาที่ธนาคารไม่ยินยอมเพราะผิดหลักเกณฑ์ จากนั้นตนได้ไปร้องต่อที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดแต่ก็เงียบหาย สุดท้ายไม่มีทางออก ต้องกลับไปขอร้องเจ้าของโครงการช่วยเหลือแต่ก็ไม่ได้ความ จึงแจ้งธนาคารว่า ไม่ขอจ่ายค่างวดต่อ และจะปล่อยให้ธนาคารยึด หากไม่มีการดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง เพราะที่จ่ายไปนั้นคือต้องจ่ายให้บ้านของผู้อื่น กระทั่งธนาคารโอนให้เป็นของบริษัทบริหารสินทรัพย์และได้มีการเจรจาประนอมหนี้กัน ซึ่งขณะนั้นเป็นหนี้อยู่กว่า 2 ล้านบาท

เมื่อทำอะไรไม่ได้จึงพยายามหาหนทางต่อและยังอาศัยอยู่ในบ้านตามปกติ กระทั่งตนเองมาทราบว่า น.ส.แหม่ม เพื่อนบ้านที่แปลงบ้านสลับกัน ซึ่งซื้อบ้านมาด้วยเงินสด ได้นำเอกสารโฉนดที่ถืออยู่ ซึ่งเป็นแปลงของบ้านที่ตนอาศัย ไปขายฝากในราคาประมาณ 3 ล้านบาท และปล่อยให้ขาดอายุ จนวันนึงตัวแทนผู้รับขายฝากได้มาที่บ้านเพื่อแจ้งยึดและขอให้ตนออกจากบ้าน แต่ตนเองไม่ยอม ก่อนที่ตัวแทนจะมาหลอกซ้ำว่าจะประกาศขายให้ตนเองเพื่อนำเงินช่วยปิดหนี้ โดยจะขอแค่ส่วนต่างกำไรและค่านายหน้า แต่ขอให้ตนและน้องชายย้ายออกไปก่อน ตนเองจึงหลงเชื่อยอมย้ายออก

ส่วนน้องชายนั้นย้ายกลับบ้านที่ต่างจว. และเมื่อตนเองยอมย้ายออก ก็ไม่สามารถติดต่อนายหน้าคนดังกล่าวได้อีกเลย เมื่อกลับไปดูที่หน้าบ้าน ซึ่งเดิมตนติดป้ายขาย และป้ายระบุว่า “บ้านหลังนี้โฉนดผิดแปลง กำลังดำเนินการเปลี่ยนแปลง” ก็ถูกเปลี่ยนเป็นขายด่วนโดยนายหน้ารับขายฝาก ตนเองจึงกับน้องชายจึงไม่เหลืออะไร และไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ เพราะหากจะขายบ้านตามที่มีโฉนด ก็เป็นบ้านหลังของ น.ส.แหม่ม ก็ขายไม่ได้อีกเพราะติดปัญหาดังกล่าว อีกทั้งบ้านของน.ส.แหม่มเองก็ยังมีแม่และน้องชายของ น.ส.แหม่มอาศัยอยู่

อย่างไรก็ตามอยากเรียกร้องให้เจ้าของโครงการฯมารับผิดชอบ เนื่องจากเป็นความผิดพลาดของโครงการตั้งแต่ต้น ซึ่งตนเองฐานะผู้ซื้อได้พยายามดำเนินการจนหมดหนทางแล้วแต่ก็ไม่สามารถทำได้ แถมยังต้องผ่อนจ่ายหนี้ไปฟรีๆโดยไม่ได้อยู่อาศัย จึงรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยเฉพาะน้องชายของตนที่พยายามดำเนินการแก้ไขร่วมกันจนท้อถอยต้องกลับไปบ้านเกิดเพื่อทำสวนยาง หากมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ช่วยให้คำปรึกษาในการดำเนินการหรือเข้ามาช่วยตรวจสอบแก้ไขได้ก็จะเป็นพระคุณอย่างสูง

สุดท้ายอยากฝากให้เป็นกรณีนี้เป็นกรณีตัวอย่างสำหรับผู้ซื้อบ้านหรือที่อยู่อาศัยก่อนซื้อบ้านขอให้มีการรังวัดให้ชัดเจน ถูกต้องก่อน ค่อยซึ้อ อย่ารีบจนเกิดความผิดพลาดเช่นตนกันน้องชาย