พฤษภาคมนี้ เริ่มปล่อยเงินกู้กองทุนประชารัฐสู่มือเอสเอ็มอี 2 หมื่นล.

นายสมชาย หาญหิรัญ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการใช้กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐวงเงิน 20,000 ล้านบาทพัฒนาเอสเอ็มอี ว่า คณะอนุกรรมการในระดับส่วนกลาง ได้แก่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ได้มีการประชุมแล้วกับคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐประจำจังหวัด ในการหารือถึงการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ และการกำหนดรูปแบบวงเงินอนุมัติ

นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า การใช้กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ แบ่งกรอบวงเงินและเป้าหมายการสนับสนุนเอสเอ็มอี 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนแรก จะจัดสรรให้ได้จำนวนเท่ากันทุกจังหวัดๆละ 100 ล้านบาท ส่วนที่สอง จัดสรรตามสัดส่วนของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (จีพีพี) แบ่งอีก 4 กลุ่ม คือ 1.ขนาดจีพีพีไม่เกิน 100,000 ล้านบาท ได้รับจัดสรร 62 ราย วงเงิน 186 ล้านบาท ใน 54 จังหวัด 2. ขนาดจีพีพี ตั้งแต่ 100,001 – 500,000 ล้านบาท ได้รับจัดสรร 68 ราย วงเงิน 204 ล้านบาท ใน 19 จังหวัด 3. ขนาดจีพีพีตั้งแต่ 500,001 ล้านบาท ขึ้นไป ได้รับจัดสรร 75 ราย วงเงิน 225 ล้านบาท ใน 3 จังหวัด และกรุงเทพฯที่มีขนาดจีพีพี 4,437,405 ล้านบาท ได้รับจัดสรร 85 ราย วงเงิน 255 ล้านบาท

นายพสุ กล่าวว่า นอกจากนี้ มีการเตรียมเงินสำรองส่วนกลางไว้อีกกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่้อจัดสรรในโอกาสต่อไป ในการร่วมลงทุนสำหรับกิจการที่เกี่ยวข้องกับโครงการฯ และ 10 ธุรกิจเป้าหมายส่งเสริมของภาครัฐ(เอสเคิร์ฟ) รวมถึงธุรกิจที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัด ที่บางพื้นที่ต้องการเพิ่มเติม ยกเว้นธุรกิจที่เกี่ยวกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจผิดกฎหมาย

นายพรเทพ การศัพท์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า โดยกองทุนจะเริ่มนำร่องและเข้าหารือในพื้นที่ ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2560 โดยกำหนดจังหวัดพิษณุโลกเป็นแห่งแรก จากนั้นไปที่จังหวัดเชียงใหม่ สงขลา และชลบุรี คาดว่ากลางเดือนพฤษภาคม 2560 จะเริ่มกระบวนการรับคำขอเพื่ออนุมัติวงเงินในทุกจังหวัด และอนุมัติกองทุนให้ผู้ประกอบการได้นำไปพัฒนากิจการของตนได้ทันที ทั้งนี้ เงื่อนไข จะพิจารณาให้สินเชื่อต่อรายไม่เกิน 3 ล้านบาท เป็นสัดส่วน 75% ของวงเงินรวมที่จังหวัดนั้นๆได้รับการจัดสรร ส่วนที่เหลือ 25% จะพิจารณาสินเชื่อได้เกิน 3 ล้านบาทแต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท เพื่อให้เข้าถึงจำนวนเอสเอ็มอีได้มากที่สุด