สงครามภาษีจีน-สหรัฐฯ ปะทุ ไทย ฐานผลิตของ 2 ยักษ์ใหญ่ ต้องเล่นบทอะไร

สงครามภาษีจีน-สหรัฐฯ ปะทุ ไทย ฐานผลิตของ 2 ยักษ์ใหญ่ ต้องเล่นบทอะไร

จากกรณี จีน กำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 10-15% เพื่อตอบโต้มาตรการขึ้นภาษีสินค้าจีนของสหรัฐฯ โดยจะเริ่มมีผล 10 ก.พ. นี้ ส่งผลให้สงครามการค้าของ 2 ประเทศยักษ์ใหญ่ ปะทุขึ้นอีกระลอก อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาทางนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเรื่องจีน เคยวิเคราะห์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า ปัญหา “กำแพงภาษี” นั้น ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางเศรษฐกิจของประเทศไทย มาพักใหญ่แล้ว

“ปัจจุบัน นักลงทุนจีน กลายเป็น นักลงทุนเบอร์ 1 ที่สำคัญในการมาลงทุนในประเทศไทย ที่เวลานี้ แซงญี่ปุ่นไปแล้ว ด้วยเหตุปัจจัยเรื่องของกำแพงภาษี เป็นสำคัญ” ดร.กัญจน์นิตา สุเชาว์อินทร์ คณบดีวิทยาลัยนานาชาติจีน มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยข้อมูลให้ เส้นทางเศรษฐีออนไลน์ รับทราบอย่างนั้น

ก่อนขยายความให้ฟังต่อ ที่ผ่านมา จากการไปสัมภาษณ์ผู้ประกอบการจีน ที่ย้ายฐานการผลิตมาลงทุนในไทย ส่วนใหญ่มาด้วยประเด็นกำแพงภาษีกันทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจโซลาร์เซลล์ และอีกหลายธุรกิจ ซึ่งสิ่งที่ตามมาก็คือ “ซัพพลายเชน” ที่เกี่ยวข้อง

“ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ อย่าง ธุรกิจยางล้อรถยนต์ ก่อนที่จะเกิดสงครามการค้า จีน เป็นผู้ส่งออกยางล้อรถยนต์ไปที่สหรัฐอเมริกา ปีหนึ่ง 80 เปอร์เซ็นต์ แต่หลังจากที่เกิดสงครามการค้า เกิดกำแพงภาษี ยอดจาก 80 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 10 เปอร์เซ็นต์ จีน เขาก็สะเทือน”

“แต่ก่อนที่เขาจะสะเทือน จนเกิดภาวะช็อก จีนได้มีการเตรียมการย้ายฐานการผลิต ไปตามประเทศต่างๆ ซึ่งไทย เป็นหนึ่งในฐานการผลิตนั้น สรุปคือ ถ้าพี่ใหญ่ 2 คนตีกัน เราก็มีหน้าที่คอยสนับสนุนส่วนที่ทำให้ธุรกิจเกิดการขับเคลื่อนต่อไปได้ กระทั่งทุกวันนี้ จีนกลายเป็นนักลงทุน ที่ทรงอิทธิพลในระดับเศรษฐกิจของบ้านเราพอสมควรแล้ว” ดร.กัญจน์นิตา อธิบายให้เห็นภาพ

เมื่อถามถึงความต้องการแรงงานของธุรกิจจีนในประเทศไทย ดร.กัญจน์นิตา เผยว่า จากการจัดเสวนาเรื่องของโอกาสทางการค้าบริษัทจีนในประเทศไทยและจัดอีเวนต์ จ๊อบแฟร์ โดย 12 บริษัทจากผู้ประกอบการจีน เข้ามาร่วมงาน ทุกบริษัท แต่ก่อนขอแค่เด็กรู้ภาษาจีนก็ใช้ได้แล้ว แต่ปัจจุบันไม่ใช่ เริ่ม Request เยอะขึ้น ขอรู้ภาษาจีนแล้ว รู้บัญชีด้วย รู้วิศวะมีรึเปล่า รู้เรื่องโลจิสติกส์ไหม

“ตอนนี้สิ่งที่ธุรกิจจีนในประเทศไทย กำลังขาดคือ ผู้บริหารระดับกลาง ที่เป็น HR ที่เป็นคนทำบัญชี เขาไม่มีคนกลุ่มที่ได้ภาษาจีนและสามารถสื่อสารกับผู้บริหารระดับสูงได้ ที่ผ่านมาจึงใช้แค่ผู้ช่วยที่เป็นล่าม” คณบดี ท่านเดิม ชี้ให้เห็นโอกาสมีงานทำของคนรุ่นใหม่ อย่างนั้น