ผู้เขียน | ข่าวสดออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ ว่า เนื่องจากปัจจุบันโลกเข้าสู่สังคมของคนที่หันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะการรับประทานอาหารที่ปลอดสารเคมี ดังนั้นการผลิตข้าวอินทรีย์จึงสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคนี้ที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้นได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมให้สมดุล และช่วยลดการถูกกีดกันทางการค้าจากประเทศที่ใส่ใจสุขภาพ ส่งผลให้ประเทศไทยสามารถส่งออกข้าวอินทรีย์ไปจำหน่ายยังประเทศต่างๆได้มากขึ้น
ทั้งนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงมหาดไทย มีนโยบายในการรักษาราคาข้าวและรายได้ของเกษตรกร โดยจัดทำตลาดข้าวครบวงจรและกำหนดให้ปี 2560 เป็นปีแห่งการยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร ซึ่งการผลิตข้าวอินทรีย์เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์นี้เพื่อเพิ่มมูลค่าราคาข้าว โดยกำหนดให้เพิ่มพื้นที่ในการผลิตข้าวอินทรีย์ 20% ต่อปี เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาดในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันการผลิตยังไม่มีมาตรฐานอย่างจริงจัง จึงต้องปรับระบบการผลิตเพื่อให้ได้มาตรฐานสากล
โดยมีเป้าหมายตั้งแต่ปี 2560-2564 เกษตรกรจะสามารถผลิตข้าวอินทรีย์จากเดิม 60,000 ไร่ ให้ได้ 1,000,000 ไร่ สำหรับเกษตรกรที่สนใจร่วมโครงการจะได้รับเงินอุดหนุนเพื่อชดเชยรายได้ให้ 3 ปี เนื่องจากการผลิตข้าวอินทรีย์จะทำให้ผลผลิตลดลงในระยะเริ่มต้น โดยผ่านการประเมินจากคณะทำงานอินทรีย์จังหวัดตามหลักเกณฑ์ที่วางไว้อาทิ พื้นที่เพาะปลูกต้องไม่มีสารเคมีอันตรายตกค้าง แหล่งน้ำต้องมาจากที่สะอาดปราศจากสารปนเปื้อน และต้องดำเนินการตามคำแนะนำของกรมการข้าวเป็นต้น
กรมการข้าวจะสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ข้าวอินทรีย์ให้รายละไม่เกิน 15 ไร่ต่อคน สำหรับผลผลิตกระทรวงพาณิชย์จะเป็นผู้ดำเนินการหาตลาด เช่น ตลาดสหภาพยุโรป เพื่อส่งออกข้าวอินทรีย์ของเกษตรกร ซึ่งใน 1 ไร่ เกษตรกรจะได้ข้าวเปลือกอินทรีย์คุณภาพดี 400 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 20 บาท ซึ่งจะได้ราคาดีกว่าข้าวเปลือกปกติที่มีราคาเพียงแค่ 12 บาทต่อกิโลกรัม หากนับยอดรวมใน 1 ล้านไร่ เกษตรกรจะได้ข้าวเปลือกอินทรีย์จำนวน 4 แสนตัน ราคา 8 ล้านบาท แต่หากเป็นข้าวเปลือกปกติจะขายได้ราคาเพียง 4.8 ล้านบาท ดังนั้นราคาข้าวเปลือกอินทรีย์จะสูงกว่าข้าวเปลือกปกติถึง 3.2 ล้านบาท คิดเป็นราคามูลค่าเพิ่มถึง 66%