ผู้เขียน | มติชนออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
วันนี้ (7 เมษายน) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย โดยกล่าวช่วงหนึ่งว่า พี่น้องประชาชนที่รัก ครับ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ผมได้เดินทางไปประชุมคณะกรรมการนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ ภาคตะวันออก (EEC) ที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภามาครับ ซึ่งถือเป็นการประชุม “ระดับนโยบาย” ครั้งแรก ภายหลังจากที่คณะทำงานต่างๆ ได้เตรียมการ – เตรียมข้อมูล สำหรับการตกลงใจ ในระดับชาติ เพื่อขับเคลื่อนให้ EEC สามารถดำเนินการไปได้ตามกำหนด และ เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม ผมเคยพูดถึงการพัฒนา EEC มาหลายครั้ง เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ และมองว่าจะเป็นการพัฒนาพื้นที่ ที่ส่งเสริมให้เกิดการสร้างฐานการลงทุน เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมสำคัญ ที่จะสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้กับเศรษฐกิจ และจะเอื้อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพิ่มศักยภาพการผลิต ซึ่งจะถือเป็นการสร้างอนาคตให้กับประเทศ และลูกหลานของเรานั่นเอง ครับ นอกจากการพัฒนา EEC จะช่วยสนับสนุนกิจกรรม ทางเศรษฐกิจ ในพื้นที่โดยตรง ทำให้เกิดการจ้างงาน การพัฒนาศักยภาพคนในพื้นที่ และชุมชนแล้ว ยังจะให้ประโยชน์กับภูมิภาคอื่นๆ ด้วยนะครับ
ประการแรก พื้นที่นี้ ถือเป็นระเบียงเศรษฐกิจ ทางฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ ซึ่งจะช่วยลดความแออัดในเมืองกรุง และ เมื่อกรุงเทพฯ ผนึกรวมกับ EEC แล้ว พื้นที่นี้ จะกลายเป็นมหานครที่น่าอยู่ อย่างเต็มภาคภูมิประการที่สอง EEC จะเป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยง ภาคอีสานตอนบน และตอนล่าง มาสู่อ่าวไทย ด้วยการขนส่ง ทั้งทางรถไฟ และทางถนน มายังท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือสัตหีบ และ ท่าเรือมาบตาพุด ซึ่งถือเป็นการรวมศูนย์การผลิต ของประเทศ เชื่อมไว้ด้วยกัน อีกทั้ง การมีสนามบินอู่ตะเภา และ เชื่อมต่อกับรถไฟความเร็วสูง ก็จะช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยว ในภาคตะวันออก ของไทยด้วยและ ประการสุดท้าย การพัฒนาพื้นที่นี้ ถือเป็นการเชื่อมโยง 3 จังหวัด EEC เข้ากับการพัฒนาจังหวัดอื่น ในภาคตะวันออก (ปราจีนบุรี สระแก้ว จันทบุรี ตราด) โดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ที่ตราด และสระแก้ว / รวมทั้ง การขนส่งสินค้า โดยเฉพาะผลไม้ ผ่านสนามบินอู่ตะเภา ที่จะลดต้นทุนการขนส่งลง และ ช่วยให้ผลผลิตมีความสดใหม่สามารถกระจายความเจริญ และนำความได้เปรียบ ของพื้นที่ต่างๆ มาใช้อย่างเหมาะสม ด้วยนะครับ
การประชุมครั้งนี้ ให้ความสำคัญกับ การยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเดิม ให้เป็น “เมืองการบิน ภาคตะวันออก” ที่จะมี 2 ทางวิ่ง และคาดว่าจะรองรับผู้โดยสาร “เพิ่มขึ้น 2 เท่า ทุกๆ 5 ปี” จาก 15 ล้านคน เป็น 30 และก็ 60 ล้านคน ในอีก 15 ปีข้างหน้า เพื่อผ่อนความคับคั่งของสนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิลง ขยายความสามารถในการให้บริการทางการบิน ของประเทศ รวมทั้ง เพื่อรองรับการท่องเที่ยว ที่เป็นแหล่งรายได้สำคัญ ให้กับเศรษฐกิจไทย และ จะกลายเป็นศูนย์กลางการพัฒนาใหม่ ของประเทศ ที่จะเชื่อมโยงกับ CLMV อาเซียน และเอเชีย
นอกจากนี้ ยังจะมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบินอีก ได้แก่ ศูนย์ซ่อมเครื่องบินล้ำยุค, อี-คอมเมอร์ส, คลังสินค้า, อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอากาศยาน, ศูนย์ธุรกิจการค้า และศูนย์ฝึกอบรมบุคคลากร ด้านการบินและแรงงานมีฝีมือ สำหรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งจะทำให้ประเทศไทย เพิ่มความสำคัญในภูมิภาค ในฐานะศูนย์กลางทางการบิน อย่างเต็มศักยภาพ ซึ่งเมื่อสายการบินต่างๆ สามารถให้ประเทศไทย เป็นทั้งจุดแวะพัก เพื่อเดินทางต่อ ไปยังประเทศในภูมิภาคแล้ว ยังสามารถเป็นศูนย์ซ่อมบำรุงได้ด้วย ก็จะช่วยสร้างรายได้ให้ประเทศ และ ยกระดับบทบาท รวมถึงความสำคัญของไทย ในภูมิภาค ได้ยิ่งขึ้น ด้วยครับ เพื่อเติมเต็มนโยบายคลัสเตอร์การบินของรัฐบาล ดังกล่าว คณะกรรมการนโยบายฯ ได้เห็นชอบ ให้มีรถไฟความเร็วสูง สายตะวันออก เชื่อมทั้ง 3 สนามบินหลักของไทย แบบไร้รอยต่อ โดยผู้โดยสารไม่ต้องเปลี่ยนสถานี ไม่ต้องเปลี่ยนขบวนรถ และใช้เวลาเดินทาง จากกรุงเทพฯ ถึงสนามบินอู่ตะเภา ไม่เกิน 1 ชม. ซึ่งจะถือเป็นการเชื่อมโยงพื้นที่ได้ “หลายมิติ” เพื่อรองรับการขนส่ง ทั้งคนและสิ่งของ ได้อย่างครบถ้วน สมบูรณ์ สนามบินอู่ตะเภา จึงถือเป็นโครงการที่เปรียบเหมือน “หัวหอก” สำคัญ ภายใต้การดำเนินนโยบายเชิงรุก ไปสู่อนาคตของประเทศ ที่ชัดเจน และเป็นรูปธรรม
ที่มา มติชนออนไลน์