เผยแพร่ |
---|
เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ที่ศูนย์ประชุม อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ(สพฉ.) สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สป.สธ.) กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) สำนักงานประกันสังคม(สปส.) กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง สมาคมโรงพยาบาลเอกชน วิทยาลัยแพทย์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย ร่วมแถลงข่าว “นโยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” (Universal Coverage for Emergency Patients : UCEP) หลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ เรื่อง “หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต” เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2560 ที่ผ่านมา
นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยมีสิทธิสุขภาพมากมาย แต่อาจมีความเหลื่อมล้ำในการรักษาบางจุด แต่นับจากนี้ กรณี ครม. อนุมัตินโยบายรัฐบาล ที่เรียกว่า “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่” ซึ่งหมายถึงประชาชนทุกคนไม่ว่าสิทธิสุขภาพใดก็ตาม เมื่อเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตภายใน 72 ชั่วโมง ต้องได้รับการรักษาพยาบาลอย่างเต็มที่ โดยโรงพยาบาลที่ใกล้บ้าน หรือจุดเกิดเหตุที่สุด โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และเมื่อพ้นวิกฤต 72 ชั่วโมงแล้วก็ต้องทำการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลในสิทธิต่อไป ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2560
นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า สำหรับค่าใช้จ่ายช่วง 72 ชั่วโมงนั้น ทางภาครัฐได้ร่วมกันหารือกับทุกภาคส่วน ทั้งกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือบัตรทอง กองทุนประกันสังคมและกองทุนสิทธิรักษาพยาบาลข้าราชการ และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน จนได้กำหนดอัตราการค่ารักษาพยาบาลขึ้น แบ่งออกเป็นกว่า 3,000 รายการ ในกรณีฉุกเฉินวิกฤตเท่านั้น ซึ่งเป็นราคาที่ตกลงร่วมกันห้ามคิดเกินจากนี้ โดยจะเป็นการจ่ายของแต่ละกองทุน ซึ่งประชาชนไม่ต้องกังวล หากอยู่ใน 72 ชั่วโมงไม่ต้องจ่ายเงิน แต่หลังจากนั้นจะต้องส่งต่อไปโรงพยาบาลตามสิทธิ ซึ่งในส่วนรพ.สังกัด สธ.ได้มีการจัดเตรียมต่างๆ เพื่อให้สำรองเตียงไว้แล้ว รวมทั้งรพ.ของสังกัดอื่นๆทั้งมหาวิทยาลัย ทหาร ตำรวจ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หากใครฝ่าฝืนมติครม.ในการเรียกเก็บเงินผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตจะมีโทษทั้งจำทั้งปรับ และหากรุนแรงอาจถึงขั้นเพิกถอนใบประกอบการได้ แต่เชื่อว่าไม่ถึงขั้นนั้น เพราะรพ.ทุกแห่งพร้อมช่วยเหลือประชาชนให้รอดพ้นวิกฤตฉุกเฉินร่วมกัน
ร.อ.นพ.อัจฉริยะ แพงมา เลขาธิการ สพฉ. กล่าวว่า หากใครมีข้อสงสัยหรือข้อถกเถียงเรื่องอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินว่าเข้าขั้นวิกฤตหรือไม่อย่างไรนั้น ขณะนี้ได้ตั้งศูนย์ประสานคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตขึ้น โดยสามารถติดต่อมาได้ที่โทร.02 872 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งศูนย์ดังกล่าว เป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการวินิจฉัยในการคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต
พล.อ.ต.เฉลิมพร บุญสิริ ประธานวิทยาลัยแพทย์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากนี้จะมีการติดคำนิยาม “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต” หน้าห้องฉุกเฉินของรพ.ต่างๆ เพื่อให้ญาติผู้ป่วย และประชาชนทั่วไปได้รับทราบ ซึ่งจะเป็นเบื้องต้นเท่านั้น เนื่องจากข้อเท็จจริงแพทย์ฉุกเฉินทราบเรื่องนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม สำหรับกลุ่มอาการฉุกเฉินวิกฤต หลักๆ มี 6 กลุ่ม คือ 1.หมดสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่หายใจ 2.หายใจเร็ว หอบเหนื่อยรุนแรง หายใจติดขัดมีเสียงดัง 3.ซึมลง เหงื่อแตก ตัวเย็น หรือมีอาการชักร่วม 4. เจ็บหน้าอกเฉียบพลัน รุนแรง 5.แขนขาอ่อนแรงครึ่งซีก พูดไม่ชัด แบบปัจจุบันทันด่วน หรือชักต่อเนื่องไม่หยุด และ 6. หรือมีอาการอื่นร่วม ที่มีผลต่อการหายใจระบบการไหลเวียนโลหิต และระบบสมองที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รองปลัดสธ. กล่าวว่า สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นโรงพยาบาลเอกชนเรียกเก็บจากกองทุนต่าง ๆ ส่วนระบบสำรองเตียงรับผู้ป่วยหลังพ้นวิกฤต 72 ชั่วโมงจากภาคเอกชนนั้น ในเขตกรุงเทพมหานคร กระทรวงสาธารณสุขได้ประสานให้โรงพยาบาลรัฐทุกสังกัดรวมทั้งโรงพยาบาลในเขตปริมณฑลรองรับ ส่วนภูมิภาคนั้น ส่วนใหญ่เป็นรพ.สังกัด สธ.อยู่แล้ว ซึ่งเตรียมพร้อมเรื่องเตียงรองรับเช่นกัน
นพ. พงษ์พัฒน์ ปธานวนิช นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กล่าวว่า ที่ผ่านมารพ.เอกชนทุกแห่งก็ให้การดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินด้วยวิชาชีพอยู่แล้ว ส่วนในเรื่องค่าใช้จ่ายนั้นก็เป็นไปตามข้อตกลงร่วมกัน เพียงแต่ขอย้ำว่า เมื่อพ้นวิกฤต 72 ชั่วโมงแล้ว หากผู้ป่วยต้องการรักษาตัวต่อที่รพ.เอกชนก็ต้องจ่ายในอัตราปกติของรพ.เอกชนนั้นๆ เนื่องจากก็มีต้นทุนที่แตกต่างกัน แต่หากต้องการส่งต่อไปรพ.ตามสิทธิก็จะเป็นไปตามระบบ ซึ่งตรงนี้ภาครัฐยืนยันว่าเตรียมระบบรองรับแล้ว
“ที่ผ่านมาระบบการส่งต่อผู้ป่วย ยังไม่มีการจัดการ ทำให้ส่งต่อผู้ป่วยไม่ได้ก็มี แต่เมื่อนโยบายนี้ชัดเจนว่า เตรียมพร้อมทั้งรพ.ในสิทธิ ทั้งเตียงรองรับผู้ป่วยกลับคืน ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ประชาชนก็สามารถเลือกได้ว่า เมื่อพ้นวิกฤต 72 ชั่วโมง จะอยู่รพ.เอกชนตามเดิม หรือจะส่งต่อ ซึ่งหากอยู่ตามเดิมก็ต้องจ่ายตามระบบปกติ” นพ.พงษ์พัฒน์ กล่าว
ที่มา มติชนออนไลน์