เจาะโมเดลธุรกิจ “Oon IT Valley” หุบเขาสตาร์ตอัพ-เมืองออร์แกนิกเชียงใหม่

โครงการ “Oon IT Valley” (ออน ไอที วัลเลย์) เป็นโปรเจ็กต์การลงทุนขนาดใหญ่ในตำบลออนใต้ อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่บนพื้นที่ทั้งหมด 90 ไร่ ที่มีภูเขาล้อมรอบ เริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2558 ชื่อของโครงการฟังดูคล้ายกับหุบเขาที่จะเป็นพื้นที่ให้นักออกแบบซอฟต์แวร์ หรือไอที เหมือนซิลิคอนวัลเลย์ของสหรัฐ ทำนองนั้น

ทว่าหากเดินเข้าไปสำรวจ Oon IT Valley ในวันนี้ ก็อาจจะเกิดคำถามขึ้นในใจว่า โครงการนี้เป็นโครงการประเภทใดกันแน่ เพราะมีทั้งแปลงเกษตรอินทรีย์ มีร้านกาแฟริมทุ่งนา มีฝูงเป็ดนับร้อยตัวเดินพาเหรดในท้องทุ่ง มีสนามฟุตบอล มีพื้นที่ปลูกพืชออร์แกนิก มีฟาร์มสเตย์ มีจักรยานให้เช่านับร้อยคัน รวมถึงดัตช์ฟาร์ม ที่เป็นแลนด์มาร์กของโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นศูนย์รวม Startup และ Coworking Space ฯลฯ

เจ้าของผู้บุกเบิก Oon IT Valley “วิโรจน์ เย็นสวัสดิ์” มีคำตอบกับ “ประชาชาติธุรกิจ”เกี่ยวกับโมเดลธุรกิจนี้ว่า มีหมุดหมายที่แท้จริงคืออะไร

ปั้นเมืองไอที วิถีล้านนา

“วิโรจน์ เย็นสวัสดิ์”
ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โปรซอฟท์ คอมเทค จำกัด กิจการผลิตซอฟต์แวร์บัญชี ซึ่งเขาเป็นผู้ก่อตั้งเมื่อ 22 ปีที่แล้ว จากพนักงานเริ่มต้นเพียง 2 คน ปัจจุบันมีพนักงานกว่า 200 คน และกล่าวได้ว่าชื่อชั้นของ “โปรซอฟท์ คอมเทค” ติดอันดับท็อปแห่งผู้นำทางด้านซอฟต์แวร์บัญชีของเมืองไทย ที่มีฐานลูกค้ามากกว่า 5,000 บริษัท มีรายได้จากการขายซอฟต์แวร์บัญชีต่อปีมากกว่า 100 ล้านบาท และยังคงเป็นธุรกิจหลักที่มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี

ความสำเร็จดังกล่าว ทำให้ “วิโรจน์” มองถึง “โอกาส” ที่อยากแบ่งปันให้กับ“คน” เพราะเขาก็เคยผ่านความยากจนมาตั้งแต่เกิดในครอบครัวชาวนา ในอำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น ต้องช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนาตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อวันนี้เขาแข็งแกร่งและมีโอกาส เขาจึงอยากหยิบยื่นโอกาสให้คนที่ขาด และนี่คือแรงบันดาลใจสำคัญยิ่ง ที่ทำให้เขาตัดสินใจลงทุนสร้างอาณาจักร “Oon IT Valley”ด้วยมูลค่าการลงทุนราว 300 ล้านบาท (รวมที่ดิน) บนที่ดิน 90 ไร่ ติดริมถนนสันกำแพงสายใหม่-เชียงใหม่

“ผมซื้อที่ดินผืนนี้ 90 ไร่ มูลค่า 84 ล้านบาทตั้งใจพัฒนาให้เป็นเมืองไอที วิถีล้านนา สองสิ่งนี้จะผสมผสานให้อยู่ด้วยกัน ความเป็นเมืองไอทีคือ พื้นที่แห่งนี้จะเป็นศูนย์พัฒนาขีดความสามารถทางด้านไอทีให้กับ SMEs Startup และ Tech Startup รวมถึงเป็น Coworking Space ส่วนวิถีล้านนา ผมอยากสร้างสังคมแห่งการแบ่งปันบนพื้นที่แห่งนี้ ให้เป็นวิถีอยู่ดี กินดี มีสุข เกษตรปลอดสารเคมี”
หนุน SMEs ตั้งตัว-เกษตรมูลค่าสูง

วิโรจน์อธิบายว่า แนวคิดการทำออนไอทีวัลเลย์ของเขา เป็น Social Enterprise คือเป็นธุรกิจที่แสวงหากำไร แต่ไม่ได้แสวงหากำไรสูงสุด เพราะกำไรจากการทำทุกกิจกรรมจะแบ่งปันให้กับคนและสังคมใครไม่มีโอกาสก็สามารถเดินเข้ามาในพื้นที่แห่งนี้ได้โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่ต้องการซอฟต์แวร์แต่ยังไม่มีเงินทุนเขาก็จะให้ใช้ซอฟต์แวร์ฟรี2 ปี จนกว่าจะตั้งตัวได้ โดยไม่มีข้อผูกมัดใด ๆ

ขณะเดียวกัน ที่นี่จะเป็นพื้นที่ต้นแบบการทำเกษตรอินทรีย์-ออร์แกนิกให้กับชุมชน เป็นโมเดลให้เกษตรกรเติบโตได้ ทำเกษตรแบบไม่มีหนี้สิน และเป็นการเกษตรที่เพิ่มมูลค่าสูง ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง เป็นเกษตรในรูปแบบ Smart Farm และใช้ไอทีเข้ามาทำการตลาดในลักษณะ e-Market Place ที่เกษตรกรสามารถขายสินค้าให้กับผู้ซื้อได้โดยตรง เป็นแหล่งสร้างงานให้คนในพื้นที่ได้มีงานทำ และคนในชุมชนสามารถมาเรียนรู้เพื่อนำไปต่อยอดในกิจการของตัวเอง

ดังนั้น ภายในโครงการจึงประกอบด้วยหลายธุรกิจ ส่วนแรก คือ “Creative Park” เป็นอาคาร 3 ชั้น ขนาด 2,000 ตารางเมตร จุได้ราว 250 คน จะเปิดให้บริการภายในเดือนมิถุนายน 2560 นี้ โดยจะเป็นสถานที่ทำงาน เป็นศูนย์ฝึกอบรมสัมมนา เป็นศูนย์เทรนนิ่งรองรับกลุ่ม SMEs Startup และ Tech Startup คาดว่าภายใน 5 ปี หรือราวปี 2566 จะเกิดการสร้างงาน สร้างคนให้กับทั้งสองกลุ่มนี้ราว 1,000 คน

นอกจากนี้ กลุ่มลูกค้าหลักของโปรซอฟท์คอมเทค ที่มีฐานอยู่กว่า 5,000 รายทั่วประเทศ ก็เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่จะเข้ามาใช้บริการภายใน Creative Park ทั้งในลักษณะการประชุมสัมมนา การฝึกอบรม และการพัฒนาเอสเอ็มอีเกี่ยวกับซอฟต์แวร์และไอที ขณะเดียวกันก็ยังมองถึงเอสเอ็มอีอีก 50,000-100,000 รายทั่วประเทศ ที่จะเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เข้ามาใช้บริการ รวมถึงยังเปิดให้เป็นพื้นที่ทำงานในรูปแบบ Coworking Space ให้กับสตาร์ตอัพด้วย

ส่วนที่สอง “Oon Organic” เป็นพื้นที่ทำการเกษตรอินทรีย์และออร์แกนิก เบื้องต้นทำบนพื้นที่ราว 10 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ปลูกข้าวไรซ์เบอรี่และข้าวหอมมะลิ 4 ไร่ และผัก/ผลไม้อีก 6 ไร่ อาทิ มะเขือเทศ พริกหวาน เมล่อน ซึ่งทั้งหมดเป็นการสร้างผลผลิตที่สามารถนำมาบริโภคได้ตลอดปี และสามารถแบ่งปันผลผลิตให้กับพนักงานโปรซอฟท์ฯและลูกค้า และยังสามารถนำไปขายให้กับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวภายในโครงการได้ด้วย

ท่องเที่ยวสไตล์ “ดัตช์ฟาร์ม”

ส่วนที่สาม “Dutch Farm” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 15 ไร่ เป็นพื้นที่ท่องเที่ยวสไตล์ฟาร์มชนบท ที่จะได้สัมผัสกับม้าแคระที่นำเข้ามาจากอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และเนเธอร์แลนด์ กว่า 50 ตัว และแกะอีกราว 80 ตัว ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสสัตว์ทั้งสองชนิดได้อย่างใกล้ชิด รวมถึงยังมีสัตว์ชนิดอื่นทั้งกระต่าย ไก่แจ้ ฯลฯ ซึ่งในช่วงวันหยุดเทศกาลและวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ มีนักท่องเที่ยวเข้าชมราว 1,000-2,000 คน โดย 3 เดือนแรกที่เปิดบริการ มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท

ส่วนที่สี่ “Oon Academy” เป็นพื้นที่เสริมสร้างประสบการณ์และฝึกทักษะกีฬาฟุตบอลให้กับเด็ก-เยาวชนที่ขาดโอกาสและฐานะไม่ดี รวมถึงเด็กและเยาวชนทั่วไปที่มีความสนใจเรียนรู้โดยนำโค้ชทีมชาติมาฝึกสอน แต่ไม่ได้กำหนดเรื่องคอร์สค่าเรียน เด็กและเยาวชนที่มาเรียนรู้ที่นี่ อาจตอบแทนด้วยการช่วยเหลืองานจิตอาสา เช่น ทำความสะอาดอาคาร ช่วยเก็บกวาด ทำความสะอาด ซักชุดฟุตบอล ฯลฯ และพื้นที่อีกส่วนจะสร้างอาคาร Campus เน้นเป็นแหล่งเรียนรู้และการสร้างประสบการณ์ใหม่หลาย ๆ ด้านให้กับเด็กและเยาวชน โดยจะใช้เงินลงทุนราว 25 ล้านบาท ซึ่งผลกำไรจากทุกธุรกิจในโครงการ Oon IT Valley จะนำมาพัฒนาโครงการนี้เป็นหลัก

ส่วนที่ห้า โครงการสร้างโรงแรมและรีสอร์ต บนพื้นที่ราว 9 ไร่ เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าของโปรซอฟท์ คอมเทค และนักท่องเที่ยวทั่วไป ขนาด 60 ห้อง ใช้งบฯลงทุนราว 50 ล้านบาท จะเริ่มก่อสร้างได้ราวปี 2561 ขณะเดียวกันก็จะสร้างที่พักราคาถูกในรูปแบบ Coliving Space เพื่อรองรับกลุ่มสตาร์ตอัพ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ราวปี 2562 และส่วนที่หก คือ ร้านกาแฟ ภายใต้แบรนด์ ทุ่งนากาแฟ ซึ่งเปิดให้บริการแล้ว ส่วนร้านอาหารอยู่ระหว่างการก่อสร้าง

ซื้อที่ดินเพิ่มรับกลุ่มลองสเตย์

วิโรจน์บอกว่ากลุ่มเป้าหมายหลักประกอบด้วยลูกค้าจากโปรซอฟท์คอมเทคสัดส่วน 50% จากฐานลูกค้าที่มีอยู่ 5,000 บริษัท กลุ่มเอสเอ็มอีที่จะให้ใช้ซอฟต์แวร์ฟรี สัดส่วน 20% กลุ่มนักท่องเที่ยว 10% กลุ่มเกษตรกรที่เข้ามาศึกษาเรียนรู้ 10% และกลุ่มพนักงานบริษัทโปรซอฟท์ฯ 10% ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้ต่อปีราว 50-60 ล้านบาท

“ตอนนี้ผมกำลังเจรจาซื้อที่ดินเพิ่มอีกราว 100 ไร่ มูลค่าที่จะซื้อ 50-60 ล้านบาท ติดกับโครงการออน ไอที วัลเลย์ เพื่อเตรียมขยายการลงทุนในอีก 5-10 ปีข้างหน้า โดยจะขยายพื้นที่โครงการ Academy เพิ่มเติม และทำที่พักรองรับกลุ่มลองสเตย์”

Oon IT Valley เป็นโมเดลธุรกิจที่มีหัวใจหลักคือ IT เป็นตัวเชื่อมต่อและสร้างมูลค่าเพิ่ม เป็นพื้นที่สร้างโอกาสให้กับ Startup และเป็นพื้นที่ต้นแบบการทำเกษตรในวิถีอยู่ดี กินดี มีสุข ปลอดสารเคมี ที่ผู้สร้างอาณาจักรแห่งนี้นิยามไว้ว่า ที่นี่เป็นเมืองไอที วิถีล้านนา วิถีแห่งการแบ่งปัน

ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์