Check up เศรษฐกิจจีน…ยังลงทุนได้หรือไม่

คอลัมน์ จับช่องลงทุน โดย ณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ CFP ที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้ เวลธ์

นับย้อนดูการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของประเทศจีนในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของ GDP ประเทศจีนชะลอตัวมาต่อเนื่อง จากระดับกว่า 10% ลดลงมาเหลือ ณ สิ้นปีที่แล้ว ขยายตัวอยู่ที่ 6.7% รัฐบาลจีนก็ได้พยายามเปลี่ยนตัวเลขการเติบโตนี้ให้เป็น New Normal ของประเทศ โดยเน้นการสร้างรากฐานการเติบโตให้มั่นคงมากขึ้น จากที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก ซึ่งเวลาเจอเศรษฐกิจของต่างประเทศชะลอตัวลง ก็จะเกิดปัญหา Oversupply

รัฐบาลจีนจึงได้กลับมาเน้นการบริโภคภายในประเทศแทน เนื่องด้วยประเทศจีนเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกกว่า 1,300 ล้านคน ทำให้การกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ มีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจจีนในยุคนี้ และที่เติบโตเร็วส่วนหนึ่งมาจากการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย อำนวยความสะดวกให้การใช้จ่ายของคนในประเทศง่ายขึ้น อย่างการซื้อสินค้าออนไลน์และระบบจ่ายเงินที่ลดการใช้เงินสด

สำหรับตัวเลขสัดส่วนการบริโภคภายในประเทศของจีนล่าสุดอยู่ที่ 51.61% ของ GDP ซึ่งก็ขยายตัวมากขึ้นตามที่รัฐบาลจีนต้องการ แต่ช่วงที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าการบริโภคภายในประเทศที่เติบโตนั้น มีปัญหาตามมาหลัก ๆ คือ ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ขยายตัวร้อนแรง ทำให้นักลงทุนหวั่นวิตกว่าจะเกิดฟองสบู่แล้วทำให้เศรษฐกิจพังลงมา

ปัญหาด้านภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนนั้นเกิดจากประชากรจีนต้องการอพยพเข้ามาอยู่ในเมืองใหญ่ อย่างเช่น เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง กวางโจ ที่เป็นเมืองที่มีงานรองรับและรายได้ดี รวมถึงเป็นเมืองที่มีการคมนาคมที่สะดวก ทำให้ราคาบ้านพักอาศัยเกิดการเก็งกำไรจากนักลงทุน และสุดท้ายก็ไม่มีคนเข้าไปอยู่ตามที่ควรจะเป็น เพราะราคาสูงเกินไป ก็กลับมาเป็นภาระหนี้ของภาคธนาคารที่ปล่อยกู้ หรือถ้าย้อนหลังไป 2-3 ปีก็จะมีประเด็นเรื่อง Shadow Banking ที่ธนาคารช่วยผู้ที่ต้องการกู้เงินในการหาเงินทุนมาให้ จะเป็นในรูปแบบหุ้นกู้ ซึ่ง Shadow Banking เป็นอะไรที่ไม่ได้มีการควบคุมที่ดีพอ ทำให้เกิดการ Default ตามมาหลายราย

สุดท้ายทางการจีน จึงเข้ามาควบคุมและเข้มงวดกับเรื่องนี้มากขึ้น ล่าสุด มาตรการควบคุมภาคอสังหาริมทรัพย์ของทางการจีนก็แก้ปัญหาโดยเข้มงวดการกู้เงินมากขึ้น โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับบ้านหลังแรกเพิ่มจากค่าเฉลี่ยที่ 4.52% ขยับขึ้นมาเป็นไม่ต่ำกว่า 4.74% และได้กำหนดระยะเวลาการกู้เงินบ้านหลังที่ 2 เป็นไม่ให้เกิน 25 ปี เพื่อลดความร้อนแรงของราคาบ้านในเมืองใหญ่ที่ปรับเพิ่มขึ้นไปกว่า 20% ในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา

อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นที่กังวลของนักลงทุน คือเงินทุนไหลออก จากการที่นักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจชะลอตัวลง และทางการจีนก็เปิดให้ค่าเงินหยวนมีความยืดหยุ่นขึ้นลงได้มากขึ้น เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เงินหยวนอ่อนค่ามาต่อเนื่อง โดยคนจีนส่วนหนึ่งได้ขนเงินออกไปต่างประเทศเพื่อกระจายการลงทุนและมีการเก็งกำไรจากค่าเงินด้วย ประกอบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ มีการแข็งค่าขึ้นจากเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัว พร้อมกับการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลาง (Fed) ก็ทำให้เงินหยวนอ่อนค่าเพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้ทางการจีนได้พยายามควบคุมเงินหยวนที่อ่อนค่าไม่ให้อ่อนค่าแบบรวดเร็วเกินไป โดยได้ออกกฎระเบียบเพิ่มความเข้มงวดในขั้นตอนการขอแลกเงินสกุลต่างประเทศของประชาชนทั่วไป ด้วยการบังคับให้สถาบันการเงินรายงานบัญชีธุรกรรมระหว่างประเทศที่มีมูลค่าตั้งแต่ 2 แสนหยวนขึ้นไป และการควบคุมการเข้าซื้อกิจการในต่างประเทศของบริษัทจีน ผลการเข้าควบคุมของทางการจีนเริ่มนั้นเริ่มได้ผล ดูจากเงินทุนสำรองของประเทศจีนเดือน ก.พ. ที่ลดลงมาตลอด ก็กลับมาเพิ่มขึ้นและอยู่ระดับเกิน 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน

มาดูเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนปีนี้บ้าง “Li Keqiang” นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศเป้า GDP ปี 2017 ขยายตัวอยู่ที่ 6.5% และยังคงเน้นการแก้ปัญหาหนี้และควบคุมความเสี่ยงในตลาดการเงินมากขึ้น ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการจีนยังคงเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเป็นหลัก

ถ้าดูตลาดหุ้นจีนในช่วงนี้ด้าน Valuation ของดัชนี H-Shares ซื้อขายที่ Forward P/E ประมาณ 8 เท่า ถือได้ว่าค่อนข้างถูกและยังมี Upside ให้เข้าลงทุนได้ ซึ่งตลาดหุ้นจีนก็ได้พัฒนาไปอีกก้าวหลังจากที่เปิดเชื่อมตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้-ฮ่องกง ไปช่วงปลายปี 2014 และเมื่อปีที่ผ่านมาก็ได้เชื่อมตลาดหุ้นเซิ่นเจิ้น-ฮ่องกง ทำให้ปีนี้มีโอกาสที่ดัชนี MSCI Emerging Market จะเพิ่มน้ำหนักคำนวณดัชนีหุ้นจีนเพิ่มขึ้น หลังจากที่ปีที่แล้วไม่มีการเปลี่ยนแปลง

ดังนั้น จึงมองว่าตอนนี้เป็นจังหวะดีที่จะทยอยเข้าลงทุนหุ้นจีน เนื่องจากความกังวลของนักลงทุนเริ่มผ่อนคลาย และตัวเลขเศรษฐกิจที่แม้ว่าจะชะลอตัวลงไปบ้าง แต่ด้วยเศรษฐกิจจีนที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก โดยการขยายตัว GDP ของจีนอยู่ที่ 6.5% ก็ไม่เลวร้ายนะครับ

ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์