ผู้เขียน | ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ |
---|---|
เผยแพร่ |
ธุรกิจสวนน้ำยังมาแรง เชียงใหม่ผนึกทุนฮ่องกงทุ่ม 500 ล้านเนรมิต “ทูบ เทรค วอเตอร์ พาร์ค เชียงใหม่” ใหญ่สุดภาคเหนือ ชูแลนด์มาร์กใหม่ เจาะตลาดนักท่องเที่ยวตลอดปีพร้อมเปิดพื้นที่เป็นอีเวนต์ปาร์ก พิษณุโลกเปิดตัวสแปลชฟัน ปาร์ค เน้นทำเล-ราคา-คุณภาพ ด้านนายกสมาคมสวนสนุกคาดปี”61 ลงทุนคึกคัก แนะรายเก่าเติมกิมมิกดึงนักท่องเที่ยวกลับมาใช้บริการซ้ำ
การลงทุนสวนน้ำกลายเป็นธุรกิจที่มาแรงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีแหล่งท่องเที่ยวแมนเมดเหล่านี้เกิดขึ้นกระจายไปทั่วประเทศ โดยในปี 2558 มีการประเมินว่าไทยมีสวนน้ำทั้งหมดประมาณ 40 แห่ง โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวที่มีโครงการมูลค่ามากกว่า 500 ล้านบาทไปจนถึงกว่า 1,000 ล้านบาท เช่น วานา นาวา หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์, สวนน้ำรามายณะ และการ์ตูนเน็ตเวิร์ค อเมโซน พัทยา จ.ชลบุรี หรือสแปลช จังเกิล ภูเก็ต, ภูเก็ต ซี แอดเวนเจอร์ จ.ภูเก็ต รวมไปถึงหัวเมืองใหญ่อย่างจังหวัดอุดรธานี ที่มีมากถึง 6 แห่ง อาทิ เพลย์พอร์ต, ยูโซเทล วอเตอร์ปาร์ค หรือไดโน วอเตอร์ปาร์ค จ.ขอนแก่น
ส่วนจังหวัดหัวเมืองรอง เช่น อุบลราชธานี พิษณุโลก สุราษฎร์ธานี สมุทรสงคราม ก็ยังมีสวนน้ำขนาดกลางและเล็กเกิดขึ้นจำนวนมาก แม้แต่ห้างสรรพสินค้าในเมืองกรุงก็หันมาเปิดให้บริการสวนน้ำภายในห้างเช่นกัน แสดงให้เห็นถึงความร้อนแรงของธุรกิจนี้ ขณะที่ปี 2560 ก็ยังคงมีการเดินหน้าเปิดสวนน้ำขนาดใหญ่อีกหลายแห่ง
ทูบเทรคฯบิ๊กสุดภาคเหนือ
นางสาวศรัญยูสุขะกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทูบเทรค วอเตอร์ พาร์คจำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า โครงการสวนน้ำ ทูบเทรค วอเตอร์ พาร์ค เชียงใหม่ (TUBE TREK Water Park Chiangmai) เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 2558 มูลค่าการลงทุนกว่า 500 ล้านบาท บริเวณเขตตำบลต้นเปา อำเภอสันกำแพง พื้นที่กว่า 30 ไร่ ซึ่งจากการศึกษาโครงการสวนน้ำพบว่ามีโอกาสสูงทางการตลาด จึงนำที่ดินผืนนี้มาพัฒนาโครงการ โดยร่วมลงทุนกับกลุ่มทุนฮ่องกง ในสัดส่วนการถือหุ้นของทุนฮ่องกงอยู่ที่ 30%
กลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักคือ นักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทย ทั้งจากลูกค้าบริษัททัวร์และโรงแรม สัดส่วนราว 60% และกลุ่มคนในพื้นที่เชียงใหม่ จังหวัดใกล้เคียงและในภาคเหนืออีก 40% ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงานกับหลายบริษัท ล่าสุด กลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรปให้ความสนใจที่จะเข้ามาใช้บริการ และขณะนี้ยังไม่มีใครทำสวนน้ำในลักษณะนี้ในเชียงใหม่และภาคเหนือจึงยังไม่มีคู่แข่ง โดยเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2560
ต่อยอดสู่อีเวนต์ปาร์ก
“ตั้งเป้าให้สวนน้ำทูบ เทรคฯ เป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของเมืองเชียงใหม่ เน้นเรื่องความปลอดภัยระดับสูงสุดและเป็นเครื่องเล่นที่ได้รับมาตรฐานระดับสากล มีการออกแบบให้เป็นสวนน้ำแนวอวกาศ ทั้งรูปทรงอาคารทุกหลังและเครื่องเล่น และมีการสร้างแคแร็กเตอร์ด้วยหุ่นยนต์ 3 ตัว ขณะเดียวกันก็พร้อมเปิดพื้นที่ภายในสวนน้ำให้เป็น Event Park แห่งใหม่ของเชียงใหม่ อาทิ จัดงาน Pool Party, Fullmoon Party และคอนเสิร์ตแนวดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ (EDM) เป็นต้น”
นางสาวศรัญยูกล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งเป้ามีลูกค้าเข้ามาใช้บริการวันธรรมดาเฉลี่ย 600-1,000 คน และวันเสาร์-อาทิตย์ เฉลี่ย 1,000-3,000 คน สำหรับราคาบัตรเข้าใช้บริการสวนน้ำ เด็กที่มีส่วนสูง 90-130 ซม. ราคา 450 บาท ผู้ใหญ่ 850 บาท ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 450 บาท และชาวต่างชาติ1,350 บาท โดยสามารถใช้บริการสวนน้ำได้ตลอดทั้งวัน และเล่นได้ทุกเครื่องเล่น ซึ่งคาดว่าโครงการจะสามารถคืนทุนได้ภายในระยะเวลา 3 ปี
เน้นราคา-คุณภาพ
เช่นเดียวกับนายปริญญา มิตาโย ผู้จัดการ สวนน้ำสแปลช ฟัน ปาร์ค พิษณุโลก เปิดเผยว่า เตรียมเปิดสวนน้ำสแปลช ฟัน ปาร์ค พิษณุโลก อย่างเป็นทางการในช่วงสงกรานต์นี้ โดยจะเป็นสวนน้ำแห่งใหม่ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด มีพื้นที่ทั้งหมด 60 ไร่ เป็นพื้นที่สวนน้ำ 40 ไร่ มูลค่าการลงทุนราว 100 ล้านบาท โดยจากการเปิดทดลองให้บริการเมื่อวันที่16 มี.ค. 60 มีกระแสตอบรับดีมาก มีลูกค้าจากทั้งในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง เช่น พิจิตร สุโขทัย รวมทั้งจังหวัดชลบุรี เนื่องจากที่ตั้งอยู่บนถนนสายเลี่ยงเมือง เข้าเขตบางระกำ ใกล้กับมหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นเส้นทางเชื่อมไปยังจังหวัดต่าง ๆ จึงนับเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ
ส่วนการบริหารจัดการน้ำนั้น เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นบ่อน้ำเดิม ขณะนี้มีฝนตกจึงรองรับน้ำฝนไว้ได้มาก แต่ก็มีการกักเก็บน้ำในแท็งก์เพื่อสำรองไว้ใช้แล้วเช่นกัน ส่วนพื้นที่ที่เหลือนั้นในอนาคตมีแผนจะพัฒนาเป็นที่พัก สำหรับจังหวัดพิษณุโลกนั้นมีสวนน้ำอยู่แล้ว 2 แห่ง ใน อ.ชาติตระการ และ อ.พรหมพิราม แต่ที่นี่มีข้อได้เปรียบคือทำเลใกล้เมืองและมีขนาดใหญ่กว่า
อย่างไรก็ตาม ราคาเป็นกลยุทธ์สำคัญของสวนน้ำในต่างจังหวัด เพราะหากราคาสูงเกินไปคนก็จะไม่สนใจ โดยทางสวนน้ำคิดอัตราค่าบริการสำหรับเด็กราคา 169 บาท ผู้สูงอายุ 80 บาท และผู้ใหญ่ 139 บาท ซึ่งปรับลดลงจากเดิมที่ 299 บาท รวมทั้งลูกค้าจะให้ความเชื่อมั่นกับเครื่องเล่นที่มีความสะอาด มีความปลอดภัย คงทนมากกว่า และมองว่าธุรกิจสวนน้ำยังคงไปได้ดี
คาดปี”61 ลงทุนคึกคัก
นายวุฒิชัย เหลืองอมรเลิศ นายกสมาคมสวนสนุกและสวนพักผ่อนหย่อนใจ (TAPA) เปิดเผยว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาธุรกิจสวนน้ำทั่วประเทศเกิดขึ้นจำนวนมาก โดยเฉพาะปลายปี 2558 ถึงต้นปี 2559 โดยสามารถแยกเป็น 2 ประเภท คือ สวนน้ำแบบถาวร และสวนน้ำเป่าลมที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ โดยประมาณการจำนวนสวนน้ำที่เกิดขึ้นในปี 2559 อยู่ที่ 30 แห่งทั่วประเทศ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นตามแหล่งท่องเที่ยว เช่น พัทยา หัวหิน เป็นต้น ขณะที่สวนน้ำเป่าลมจะนิยมเปิดบริการในต่างจังหวัด ทั้งนี้ คาดว่าธุรกิจสวนน้ำทั้ง 2 ประเภทสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศประมาณ 2,000 ล้านบาท/ปี
ส่วนภาพรวมในปี 2560 นี้ยังนิ่ง มีผู้ประกอบการบางรายที่มีแผนจะลงทุนในปีนี้ก็เลื่อนแผนออกไปก่อน ขณะที่ผู้ประกอบการที่เริ่มก่อสร้างแล้วนั้นก็ยังคงก่อสร้างต่อไป โดยในช่วงหน้าแล้งปีนี้ยังเห็นจำนวนสวนน้ำที่เปิดใหม่ไม่มากนัก เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ รวมถึงประชาชนยังระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งเมืองท่องเที่ยวยังสามารถอยู่ได้ เพราะการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติยังดี คาดว่าช่วงปลายปีนี้จนถึงต้นปี 2561 ธุรกิจสวนน้ำน่าจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง
“ผู้ประกอบการที่ต้องการจะลงทุนใหม่ในปี 2561 อาจจะต้องดูทิศทางสวนน้ำที่เปิดอยู่ เพราะปัจจุบันทุกที่ก็เจอกับสภาพที่ท้าทาย แน่นอนว่าผู้ประกอบการรายใหม่ก็จะลงทุนอลังการพอสมควร ทำให้ผู้ประกอบการรายเก่าจะต้องพยายามเติมสิ่งใหม่ ๆ เข้าไปด้วย และสิ่งสำคัญคือจะทำอย่างไรให้กลุ่มนักท่องเที่ยวแบบอิสระ (Foreign Individul Tourism: FIT) กลับมาใช้บริการ ซึ่งแหล่งท่องเที่ยวนี้เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้นักท่องเที่ยวเกิดการกลับมาซ้ำและอยู่นานขึ้น” นายวุฒิชัยกล่าว