เผยแพร่ |
---|
สะท้อนความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าชะลอตัว? จากข้อมูลล่าสุด ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla ในช่วงไตรมาส 2 (เม.ย. – มิ.ย.) อยู่ที่ 443,956 คัน ซึ่งลดลง 4.8% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เศรษฐกิจถดถอย หรือแค่สะดุดชั่วคราว?
สำนักข่าวเอพี รายงานว่า ยอดขายทั่วโลกของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของเทสล่า (Tesla) ลดลงเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน แม้จะมีการปรับลดราคาและเสนอสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำในการซื้อผลิตภัณฑ์ของเทสล่าแล้วก็ตาม
โดยเทสล่าได้เปิดเผยเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา ว่า บริษัทเทสล่าจำหน่ายรถยนต์ได้ 443,956 คันในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายนที่ผ่านมา ถือว่าลดลง 4.8% จากยอดขาย 466,140 คันในช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม ยอดขายยังดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 436,000 คัน
ทั้งนี้ ราคาหุ้นของเทสล่า ในปีนี้ลดลงประมาณ 7% และราคาหุ้นของเทสล่า ลดลงมากกว่า 40% ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่ยอดขายที่มากกว่าที่คาดไว้ส่งผลให้ราคาหุ้นของเทสล่าพุ่งขึ้น 10% ในการซื้อขายวันที่ 2 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเกือบจะลบล้างการขาดทุนครั้งใหญ่จากเดือนก่อนๆ ได้แล้ว โดยเพิ่มขึ้นมากกว่า 60% นับตั้งแต่ราคาหุ้นลงไปแตะระดับต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกกำลังชะลอตัวลง แต่ผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยรถรุ่นเก่าของเทสล่า ยังคงมีราคาขายเฉลี่ยค่อนข้างสูง ทำให้ประสบปัญหามากกว่าผู้ผลิตรายอื่น แต่ก็ยังคงรักษาตำแหน่งผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่มียอดขายสูงสุดของโลกไว้ได้
ในช่วงครึ่งปีแรกเทสล่าขายรถยนต์ไฟฟ้าได้ 830,766 คันทั่วโลก เอาชนะ BYD ของจีนที่ขายรถยนต์ไฟฟ้าได้ 726,153 คัน นอกจากนี้ เทสล่ายังขายรถได้มากกว่า 33,000 คันในช่วงไตรมาสที่ 2 ซึ่งถือว่ามากกว่าที่ผลิตได้ คาดว่าน่าจะช่วยลดสินค้าคงค้างอยู่ในคลังของบริษัทได้
อย่างไรก็ตาม ยอดขายของเทสล่าก็ยังถือว่าลดลงเนื่องจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตรถยนต์ทั้งรายเก่าและรายใหม่ ซึ่งพยายามแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดของบริษัท
โดยยอดขายของเทสล่าเกือบทั้งหมดมาจากรถรุ่น Model 3 และ Y ซึ่งมีขนาดเล็กและราคาถูกกว่า ในขณะที่รุ่นที่มีราคาแพงกว่าอย่างรุ่น X และ S รวมถึงรุ่น Cybertruck รุ่นใหม่ บริษัทขายได้เพียง 21,551 คัน
ถึงแม้ทางเทสล่าได้พยายามลดราคารถยนต์ราคาแพงทั้ง 3 รุ่นลง ในสหรัฐอเมริการาวๆ คันละ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ก็ไม่ได้แก้ปัญหายอดขายที่ตกลงของทั้ง 3 รุ่นได้
โดยการปรับลดราคาในเดือนเมษายนที่ผ่านมาทำให้ราคาเริ่มต้นของรถรุ่น Model Y ลดลงเหลือ 42,990 ดอลลาร์สหรัฐฯ และรุ่น Model S ลดลงเหลือ 72,990 ดอลลาร์สหรัฐฯ และรุ่น Model X ลดลงเหลือ 77,990 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เทสล่าได้ลดราคาพื้นฐานรถรุ่น Model 3 รุ่นปรับปรุงใหม่บางรุ่นลง 2,340 ดอลลาร์สหรัฐฯ จากเดิมราคา 38,990 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งอยู่ในคลังสินค้าและจัดส่งไปยังร้านค้าของบริษัท นอกจากนี้ ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เทสล่าเสนอสินเชื่อรถยนต์รุ่น Model Y อัตราดอกเบี้ย 0.99% นานถึง 6 ปี ในเดือนมิถุนายน เทสล่าเสนออัตราดอกเบี้ยต่ำถึง 1.99% นาน 3 ปีสำหรับรถยนต์รุ่น Model 3 ขับเคลื่อนล้อหลัง อัตราดอกเบี้ยรถยนต์ใหม่ทั่วไปอยู่ที่เฉลี่ยกว่า 7% เล็กน้อย นอกจากนี้ ในไตรมาสนี้ เทสล่ายังได้ลดราคาของระบบ “Full Self Driving” ลงประมาณ 1 ใน 3 จากเดิม 12,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ลงเหลือ 8,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ เจสซิกา คอลด์เวลล์ หัวหน้านักวิเคราะห์จาก Edmunds.com ให้ความเห็นว่า เทสล่ากำลังประสบปัญหาในตลาดที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ในช่วงแรกมีรถยนต์ไฟฟ้าอยู่แล้ว ในขณะที่ผู้ซื้อทั่วไปส่วนใหญ่มีความสงสัยว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะสามารถตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้หรือไม่
โดยคอลด์เวลล์ กล่าวด้วยว่า การลดราคาแบบไร้ทิศทางของเทสล่า ไม่ได้ผลดีเหมือนเมื่อก่อน เนื่องจากผู้บริโภคคาดหวังให้เป็นเช่นนั้น นอกจากนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์รุ่นเก่าของเทสล่าก็ไม่ได้ดูแตกต่างไปจากเมื่อหลายปีก่อนมากนัก เมื่อมีการลดราคาลง ราคาของเทสล่ามือสองก็ลดลงด้วย ใครก็ตามที่ต้องการเทสล่าสามารถซื้อรถมือสองได้ในราคาที่ถูกกว่ามาก
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเร่งสำคัญใดในปีนี้ที่พอจะกระตุ้นยอดขายของเทสล่าได้ มีราคาน้ำมันจะพุ่งสูงขึ้น นอกจากนี้ การที่ อีลอน มัสก์ แสดงจุดยืนทางการเมืองหันไปทางขวาตั้งแต่เข้าซื้อ Twitter ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์เทสล่า
อย่างไรก็ตาม ทางเทสล่าไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆ เกี่ยวกับยอดขายที่ลดลง ซึ่งเป็นลางบอกเหตุเมื่อบริษัทประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ในวันที่ 23 กรกฎาคมที่จะถึงนี้
ในขณะที่นักวิเคราะห์ของ Wedbush ได้แสดงความเห็นต่อนักลงทุนว่ายอดขายในไตรมาสที่ 2 ถือเป็นผลงานการฟื้นตัวครั้งยิ่งใหญ่สำหรับเทสล่า โดยสรุปแล้วช่วงเวลาที่สุดก็ผ่านไปแล้วสำหรับเทสล่า ถึงแม้บริษัทได้ลดพนักงานลง 10-15% เพื่อลดต้นทุนและรักษาผลกำไรไว้ แต่ดูเหมือนว่าวันข้างหน้าจะดีขึ้น และบริษัทจะมีการเติบโตในอนาคต
ทั้งนี้ ในจดหมายของ Wedbush ถึงนักลงทุนเมื่อเดือนมกราคม ได้คาดการณ์ว่า ยอดขายของเทสล่าจะเติบโตลดลงอย่างเห็นได้ชัดในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ก็คาดไว้เช่นกันว่า เทสล่าอยู่ระหว่างคลื่นการเติบโตขนาดใหญ่ 2 ลูก ลูกแรกมาจากการขยายตัวทั่วโลกของยอดขาย Model 3 และ Y และลูกที่สองมาจาก Model 2 ซึ่งเป็นรถรุ่นใหม่ที่เล็กกว่าและราคาถูกกว่า โดย Model 2 ยังไม่ได้ระบุวันจัดจำหน่าย
โดยในวันที่ 8 สิงหาคมนี้ เทสล่ามีกำหนดจะเปิดตัวการผลิต โรโบแท็กซี่ บริการรถยนต์ไร้คนขับด้วย
ที่มา : รถยนต์