เผยแพร่ |
---|
ทุกวันนี้ประเทศในอาเซียนต่างให้ความสำคัญกับธุรกิจ “สตาร์ตอัพ” อย่างจริงจัง และมองว่าจะเป็นอนาคตเศรษฐกิจระดับใหม่ ล่าสุด “Kejora Ventures” ดาวรุ่งแห่งธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital-VC) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 2557 โดยมีการลงทุนในธุรกิจแล้วกว่า 29 ธุรกิจ
ล่าสุดได้เข้ามาเปิดตัวสำนักงานในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ถือเป็นสาขาที่ 4 หลังเปิดสำนักงานในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และสิงคโปร์
Kejora Ventures ตั้งเป้าหมายระดมทุนไว้ที่ 80 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งขณะนี้สามารถระดมทุนได้กว่า 1 ใน 3 จากงาน Kejora Star Capital II Fund โดยสามารถดึงผู้ร่วมลงทุนที่มีศักยภาพอย่าง Baristo Pacific Group ผู้ประกอบการธุรกิจยักษ์ใหญ่จากอินโดนีเซีย, Hubert Burda Media บริษัทสื่อจากเยอรมนี และเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.) ดังนั้น “ชัชวาลย์ เจียรวนนท์” กรรมการบริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จึงได้เข้าไปนั่งเป็นกรรมการที่ปรึกษาประจำกองทุนในประเทศไทย
พร้อมกันนี้ กองทุน Kejora ได้ประกาศให้เงินสนับสนุนสตาร์ตอัพดาวรุ่ง 6 ราย ได้แก่ C88 Fintech Group, Qareer Group Asia, Etobee, Investree, Pawoon และ MoneyTable ซึ่งมันนี่เทเบิ้ลเป็นสตาร์ตอัพด้านฟินเทคจากประเทศไทย
โดยเป้าหมายการลงทุนของ Kejora Ventures ในระยะเริ่มแรกจะเน้นการลงทุนสตาร์ตอัพใน 3 สาขาหลัก ได้แก่ ไฟแนนซ์, เอชอาร์ และโลจิสติกส์
ทำไมต้องลงทุน อาเซียน
“Sebastian Togelang” ผู้ร่วมก่อตั้ง Kejora Ventures กล่าวว่า อาเซียนเป็นตลาดที่น่าสนใจในการลงทุนด้านสตาร์ตอัพ เพราะมีครบในทุกปัจจัยที่เกื้อหนุน ได้แก่ ประชากรวัยเยาว์ที่มีมากกว่าครึ่งและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงโอกาสในอนาคต หมายถึง ลงทุนในตอนที่อะไร ๆ ยัง “ราคาถูก” เพื่อเก็บเกี่ยวและขายในตอน “ขาขึ้น”
หากอาเซียนผนึกกำลังด้านสตาร์ตอัพ สร้างเครือข่าย กระจายบริการไปได้มากกว่าภายในประเทศของตนเอง จะสามารถดันภูมิภาคเล็ก ๆ แห่งนี้ ให้กลายเป็น “ฮับซิลิกอนวัลเลย์” ได้ไม่ยาก
“อาเซียนเป็นภูมิภาคที่เปลี่ยนแปลงเร็วมาก ผมมองว่าตอนนี้อาเซียนเหมือนกับจีน เมื่อราวปี 2006 ที่สตาร์ตอัพและอีคอมเมิร์ซกำลังเริ่มพัฒนา เพราะฉะนั้น นี่คือเวลาประจวบเหมาะของการลงทุน ยูนิคอร์นใกล้เข้ามาแล้ว”
ข้อจำกัดหนึ่งของประเทศอาเซียนคือมีขนาดเล็ก จำนวนประชากรจึงน้อยตาม การจะไปสู้กับจีน หรือสหรัฐอเมริกา ที่มีจำนวนประชากรที่พร้อมจะโดดเข้าใช้แพลตฟอร์มอย่างเต็มความสามารถคงไม่ได้ การผนึกกำลังกันเพื่อให้ได้จำนวนผู้ใช้งาน 750 ล้านคน จากทั้งภูมิภาคอาเซียน จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญ
“P to P” และ ”คนรุ่นใหม่” คีย์ซักเซส
กองทุน Kejora ได้มีการลงทุนสตาร์ตอัพดาวเด่นมากมาย ซึ่งที่น่าจับตามองที่สุด คงหนีไม่พ้น “C88” สตาร์ตอัพฟินเทค (Financial Technology) ระดับยูนิคอร์น (มูลค่าเกิน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ)
“Karl Knoflach” ผู้ร่วมก่อตั้ง C88 บอกว่า หัวใจแห่งความสำเร็จของสตาร์ตอัพฟินเทค คือ รูปแบบ P to P ที่ตัดตัวกลางออก ทำให้ผู้บริโภคเลือกได้มากขึ้น ในราคาที่ถูกกว่าเกิดการครอสเซลลิ่ง (Cross Selling) ตัวอย่างที่เห็นชัดคือตลาดจีน ซึ่งมีศักยภาพด้านจำนวนประชากร ทำให้ตลาดเติบโตอย่างรวดเร็วจนหายใจไม่ทัน
สำหรับตลาดอาเซียน ศักยภาพด้านประชากรก็เป็นสิ่งสำคัญ อาเซียนถือว่าเป็นดาวเด่นด้านประชากรอายุน้อย ที่สามารถเติบโตทันกับการพัฒนาเศรษฐกิจ และสิ่งที่น่าตื่นเต้นมาก ๆ คือการที่รัฐบาลประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเร่งเครื่องด้านสตาร์ตอัพตามกันมาติด ๆ ใน 2-3 ปีที่ผ่านมา การหาเงินทุนเพื่อสนับสนุนในช่วงเริ่มต้นก็ง่ายขึ้น เนื่องจากมีคนพร้อมจะลงขัน ทำให้ตอนนี้ตลาดอาเซียนถือว่าพร้อมแทบทุกด้านที่จะลงทุนด้านสตาร์ตอัพ
โอกาสของการเป็น ฮับ สตาร์ตอัพ
การเข้าร่วมเป็นพาร์ตเนอร์กับ Kejora ทำให้ดูเหมือนว่า สตาร์ตอัพหลาย ๆ บริษัทจะสามารถขยายตัวได้มากกว่าภายในประเทศตัวเอง อย่างไรก็ตาม การก้าวเป็นฮับสตาร์ตอัพอาจจะยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววันนี้สำหรับภูมิภาคอาเซียน
“Iman Kusnadi” ผู้ร่วมก่อตั้งและซีโอโอของ Etobee สตาร์ตอัพด้านโลจิสติกส์สำหรับสินค้าและบริการทุกประเภท (ดีลิเวอรี่เซอร์วิส) แห่งอินโดนีเซีย มาพร้อมกับการเติบโตของอีคอมเมิร์ซเผยว่า ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า อาเซียนจะสามารถเป็นตลาดแห่งเทคโนโลยีได้ แต่การเป็นซิลิกอนวัลเลย์ อาจจะต้องใช้เวลาอีก เนื่องจากความพร้อมของแต่ละประเทศไม่เท่ากัน
“สำหรับประเทศไทยถือว่ายังเด็กสำหรับสตาร์ตอัพในวันนี้ฟิลิปปินส์กับอินโดนีเซียอาจจะได้เพราะในเมืองใหญ่ ๆ เป็นเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ส่วนสิงคโปร์ก้าวล้ำไปกว่านั้น คำตอบของผมคืออาจจะเป็นไปได้ แต่แค่ในบางพื้นที่เท่านั้นสำหรับการเป็นซิลิกอนวัลเลย์”
ขณะที่ “J. P. Ellis” ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง C88 ให้ความเห็นว่า อาเซียนสามารถก้าวเข้ามาเป็นซิลิกอนวัลเลย์ของสตาร์ตอัพได้ อาจจะ 10-20 ปีข้างหน้า เนื่องจากซิลิกอนวัลเลย์ หมายถึง ที่ที่เทคโนโลยีถูกคิดค้นขึ้น และอาเซียนมีเครื่องมือพร้อมที่จะสร้างเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย โอกาสด้านเศรษฐกิจ และนวัตกรรมใหม่ ความสำคัญของการเป็นซิลิกอนวัลเลย์ คือ ความต้องการที่จะผลิตเทคโนโลยีใหม่ ๆ และทดลองโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ กับคนรุ่นใหม่ที่ยินดีที่จะรับมันมาใช้
ปัญหา & อุปสรรค อาเซียน
ปัญหาหลักของการลงทุนและขยายสตาร์ตอัพออกนอกประเทศในอาเซียน ที่ได้รับการพูดถึงจากนักลงทุน 2 เรื่องใหญ่ก็คือ ความแตกต่างด้านวัฒนธรรม และมาตรการกำกับกฎหมายของบางประเทศที่มีความเข้มงวดมาก ทำให้อาจไม่เอื้อต่อนักลงทุนต่างชาติ
“Knoflach” แห่ง C88 มองว่า มาตรการกำกับกฎหมายบางประเทศที่เข้มงวดเกินไป เช่น กรณีประเทศไทยควรจะมีการผ่อนคลายกฎหมายกำกับดูแลลงบ้าง ให้เอื้อต่อนักลงทุนต่างชาติ เพราะซิลิกอนวัลเลย์จะสำเร็จขึ้นได้ ส่วนหนึ่งมาจากสิ่งแวดล้อมด้านกฎหมายที่เอื้อต่อการเติบโต ซึ่งจะเห็นตัวอย่างได้จากทั่วโลก
สำหรับซีอีโอของ Etobee ระบุว่า มีความสนใจที่จะลงทุนในประเทศไทย แต่อาจจะยังไม่ใช่เวลานี้ เพราะยังมีเรื่องที่ต้องเตรียมพร้อมอีกมาก อย่างหนึ่งคือกำแพงด้านภาษา ธุรกิจของเขาคือธุรกิจด้านการขนส่ง ดังนั้นแอปพลิเคชั่นในไทยจะต้องเป็นภาษาไทยเพื่อให้คนไทยเข้าใจ และยอมรับการใช้งาน นั่นหมายถึงการต้องหาทีมงานคนไทยที่สามารถแปลภาษาและทำงานสอดคล้องไปกับสตาร์ตอัพของเขาได้ จึงจะต้องเป็นคนที่เข้าใจและใช่จริง ๆ นอกจากนั้นยังรวมถึงการหาพาร์ตเนอร์ที่สามารถเข้าใจในตัวธุรกิจที่จะสนับสนุน การเข้าร่วมกับ Kejora ครั้งนี้เชื่อว่าน่าจะทำให้สามารถขยายตลาดไปไกลได้มากกว่าประเทศอินโดนีเซียแน่นอน
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความฝันสวยหรูของกระแสสตาร์ตอัพก็คือประเด็นเรื่อง “ฟองสบู่” สตาร์ตอัพ ที่กำลังปะทุขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ เพราะทุกฝ่ายประเมินมูลค่าของสตาร์ตอัพสูงเกินจริง ให้เงินทุนสนับสนุนที่ขึ้นอยู่กับการคาดหวังและความฝันมากกว่าโมเดลธุรกิจ
ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์