เผยแพร่ |
---|
ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท กระทบ SMEs อาจแบกรับต้นทุนไม่ไหวจนต้องปิดตัว แรงงานเผชิญค่าครองชีพสูง รวมถึงการถูกเลิกจ้างในบางกิจการ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยข้อมูลการสำรวจหัวข้อ “หากปรับค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศเป็น 400 บาท จะส่งผลอย่างไรบ้าง?” พบว่า กิจการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดน่าจะได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำมากกว่าหัวเมืองหลักและหัวเมืองรอง
เนื่องจากค่าจ้างขั้นต่ำในปัจจุบันมีระดับแตกต่างกันไปในแต่ละจังหวัด ตั้งแต่ 330-370 บาทต่อวัน (จากการปรับทั้งประเทศครั้งล่าสุด 1 ม.ค. 2567) ส่งผลให้ผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำของผู้ประกอบการอาจแตกต่างกันออกไปในแต่ละพื้นที่
3 พื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด
ปัตตานี ยะลา นราธิวาส (เดิม 330 บาท) +21%
แพร่ น่าน พะเยา ตรัง (เดิม 338 บาท) +18%
16 จังหวัดทั่วประเทศ (เดิม 340 บาท) +18%
3 พื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
ภูเก็ต (เดิม 370 บาท) +8%
กรุงเทพฯ และปริมณฑล (เดิม 363 บาท) +10%
ชลบุรี และระยอง (เดิม 361 บาท) +11%

นอกจากนี้ยังพบว่า ธุรกิจที่ใช้แรงงานเข้มข้น เช่น ภาคเกษตร ที่พักโรงแรม ร้านอาหาร ก่อสร้าง และการบริการด้านอื่นๆ เช่น ความงาม ร้านซักรีด ฯลฯ งานในครัวเรือนส่วนบุคคล จะมีต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้นจากเดิมราว 8-14%
ทั้งนี้ นอกเหนือจากการปรับค่าจ้างแรงงานตามค่าจ้างขั้นต่ำที่ปรับเพิ่มขึ้นแล้ว บางธุรกิจอาจมีต้นทุนแรงงานในส่วนอื่นๆ ที่ไม่ได้อิงกับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มเติม ซึ่งคงขึ้นอยู่กับโครงสร้างการจ่ายค่าจ้างของแต่ละธุรกิจ
โดยสรุป แม้การปรับเพิ่มขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะทำให้แรงงานมีรายได้เพิ่มขึ้นบ้าง แต่ก็มีความเสี่ยงจากราคาสินค้าและบริการที่จะเพิ่มขึ้นตาม รวมถึงการถูกเลิกจ้างงานในบางกิจการ โดยก่อนหน้านี้มีสินค้าและบริการบางรายการปรับไปรอค่าจ้างที่คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งหากภาครัฐไม่ได้มีมาตรการคู่ขนานในการควบคุมดูแลราคาสินค้าและบริการร่วมด้วย
ทำให้ท้ายที่สุดแล้วความสามารถในการใช้จ่ายของแรงงานคงไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก และอาจต้องเผชิญความเสี่ยงถูกเลิกจ้างจากผู้ประกอบการรายใหญ่ ที่อาจมีการหันไปประยุกต์ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น หรือบางกิจการ โดยเฉพาะ SMEs ที่อาจแบกรับต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้นไม่ไหวจนต้องปิดตัวลง
ข้อมูลจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย