เผยแพร่ |
---|
SMEs อัปเดตด่วน เปิด 6 เรื่อง “ฉลากอาหาร” ปลอดภัยแบบใหม่ ก่อนบังคับใช้ 2 ก.ค. 67
“ฉลากอาหาร” ถือเป็นหัวใจสำคัญของสินค้าเพื่อการบริโภค เพราะคือสิ่งที่จะช่วยบ่งบอกถึงรายละเอียดและส่วนประกอบสำคัญของตัวสินค้า ที่จะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค แต่ฉลากอาหารที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน อาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ที่หันมาสนใจในเรื่องของโภชนาการอาหารเพิ่มมากขึ้น
กระทรวงสาธารณสุข จึงได้มีการปรับปรุง แก้ไข เพิ่มเติม ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 445-448 เกี่ยวกับฉลากโภชนาการ, อาหารที่ต้องแสดงฉลากโภชนาการ ค่าพลังงาน น้ำตาล ไขมัน และโซเดียม แบบจีดีเอ (GDA : Guideline Daily Amount), การกล่าวอ้างทางสุขภาพของอาหารบนฉลาก และผลิตภัณฑ์อาหารเสริม โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2567
นางสาวนฤมล ฉัตรสง่า ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภั
เพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการ ในการปรับตัวให้ทันต่อกฎหมายใหม่ เพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการจำหน่ายสินค้า เพราะเมื่อถึงกำหนดบังคับใช้ฉลากอาหารฉบับใหม่แล้วผู้ประกอบการที่ไม่เปลี่ยนฉลาก สินค้าก็จะถูกถอนออกจาก Shelf จำหน่ายโดยอัตโนมัติในทันที
โดยใจความสำคัญของประกาศทั้ง 4 ฉบับ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้บริโภครับทราบถึงข้อมูลชนิดและปริมาณสารอาหารที่ได้รับจากการบริโภค เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบปริมาณสารอาหารกับอาหารประเภทเดียวกันได้ พร้อมรายละเอียดต่างๆ กำหนดคุณภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ตลอดจนหลักเกณฑ์ในการกล่าวอ้างทางสุขภาพของอาหาร

1. รูปแบบกรอบข้อมูลโภชนาการ
ต้องเป็นกรอบแบบมาตรฐาน (ไม่มีกรอบแบบย่อ) กรณีนอกเหนือจากรูปแบบที่กำหนด ต้องได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา รวมถึงมีการปรับข้อความ “หนึ่งหน่วยบริโภค” และ “จำนวนหน่วยบริโภค” เป็น “กินได้…ครั้ง ต่อ…” ตลอดจนกำหนดจำนวนรายการสารอาหารบังคับน้อยลง จาก 15 รายการ เป็น 9 รายการ ได้แก่ พลังงาน ไขมันทั้งหมด ไขมันอิ่มตัว คอเลสเตอรอล โปรตีน คาร์โบไฮเดรต น้ำตาลทั้งหมด โซเดียม และโพแทสเซียม พร้อมกำหนด “โพแทสเซียม” เป็นสารอาหารบังคับเพิ่มเติม

2. ปรับข้อกำหนดเงื่อนไขการแสดงกรอบข้อมูลโภชนาการ
การแสดงกรอบข้อมูลโภชนาการนั้นการแสดงสีของพื้นกรอบข้อมูลให้ใช้สีขาว ตัวอักษรต้องใช้สีที่เห็นและอ่านได้ชัดเจน และต้องเป็นสีเดียวกันกับสีเส้นกรอบ ขนาดของตัวอักษรต้องมีขนาดดังต่อไปนี้ ส่วนที่ 1 และ 2 ความสูงไม่น้อยกว่า 1.5 มม. ส่วนที่ 3, 4 และ 5 ความสูงไม่น้อยกว่า 1 มม. พร้อมแสดงข้อมูลพลังงานและสารอาหารทุกรายการตามที่กำหนด แม้ว่าจะมีปริมาณที่ไม่มีนัยสำคัญก็ตาม

การแสดงข้อมูลสารอาหารอื่นนอกเหนือจากที่กำหนดให้แสดงในกรอบข้อมูลโภชนาการ ต้องแสดงตามลำดับก่อนหลังตามเงื่อนไขที่กำหนด กำหนดค่าการแปลงหน่วย (Conversion factors) และการคำนวณค่าพลังงาน, การคำนวณค่าพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตทั้งหมด, ค่าการแปลงหน่วยของวิตามินและแร่ธาตุ ปัดตัวเลขวิตามินและแร่ธาตุกรณีปริมาณไม่มีนัยสำคัญจาก “<ร้อยละ 2” เป็น “น้อยกว่าร้อยละ 5 ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน” ตามมาตรฐานโคเด็กซ์ (CODEX : คณะกรรมาธิการโครงการมาตรฐานอาหาร FAO/WHO มีหน้าที่กำหนดมาตรฐานอาหารให้เป็นมาตรฐานสากล)
3. วิธีการกำหนดปริมาณอาหารหนึ่งหน่วยบริโภคกับจำนวนหน่วยบริโภคต่อภาชนะบรรจุ
ปรับแก้ไขนิยามของ “หนึ่งหน่วยบริโภค หรือ ปริมาณที่กินต่อครั้ง” โดยเน้นใช้คำว่า “ปริมาณที่กินต่อครั้ง” ให้สอดคล้องกับข้อความที่ใช้ในกรอบข้อมูลโภชนาการ ขยายกลุ่มอาหารจาก 7 กลุ่ม เป็น 14 กลุ่ม พร้อมชนิดอาหาร และปริมาณหนึ่งหน่วยบริโภคอ้างอิง ปรับหลักเกณฑ์การกำหนดปริมาณที่กินต่อครั้ง วิธีการกำหนดจำนวนครั้งที่กินได้ต่อภาชนะบรรจุ ปรับเศษเป็นจำนวนเต็ม ให้ใช้ตามหลักการทางคณิตศาสตร์สากล
4. ปรับชื่อบัญชี
“ค่าอ้างอิงสารอาหารต่อวันสำหรับคนไทย (THAI REFERENCE DAILY INTAKES – THAI RDIs)” เพื่อเป็นค่ากลางสำหรับอ้างอิงการแสดงคุณค่าทางโภชนาการบนฉลากอาหาร ปรับลดช่วงอายุอ้างอิงจาก “อายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป” เป็น “อายุตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป” ไม่กำหนดค่า Thai RDIs ของฟลูออไรด์
5. ค่าอ้างอิงต่อวันของสารอาหาร
กำหนดค่าอ้างอิงต่อวัน (Thai RDIs) ของสารอาหารจำนวน 33 รายการ พิจารณาบนพื้นฐานของปริมาณสารอาหารอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวัน (Daily Intake Reference Value, DIRVs) ของประชากรทั่วไปสุขภาพดีในช่วงอายุ 19-50 ปี และค่าพลังงานที่ควรได้รับต่อวัน 2,000 กิโลแคลอรี ปรับลดช่วงอายุอ้างอิงจาก “อายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป” เป็น “อายุตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป” อ้างอิงตามมาตรฐาน CODEX เพื่อแบ่งกลุ่มประชากรให้ชัดเจน โดยแยกกลุ่มทารกและเด็กเล็ก (อายุ 0-3 ปี) ออกจากกลุ่มประชากรทั่วไป ไม่กำหนดค่า Thai RDIs ของฟลูออไรด์ สอดคล้องกับหลักการพิจารณากำหนดค่า DRIs ของกรมอนามัย
6. เกณฑ์และเงื่อนไขการกล่าวอ้างทางโภชนาการ
ปรับเงื่อนไขการคำนวณปริมาณสารอาหารกรณีอาหารที่มีปริมาณหนึ่งหน่วยบริโภคอ้างอิงไม่เกิน 30 กรัม หรือไม่เกิน 2 ช้อนโต๊ะ จากการคำนวณ “ต่อ 50 กรัม” เป็น “ต่อ 2 เท่า ของปริมาณหนึ่งหน่วยบริโภคอ้างอิง” และมีการเพิ่มเงื่อนไขปริมาณ “น้ำตาลทั้งหมด มากกว่า 13 กรัม”
สอดคล้องกับเงื่อนไขการแสดงข้อความ “เพื่อสุขภาพ” และการกล่าวอ้างทางสุขภาพของอาหาร ปรับเงื่อนไขข้อความกล่าวอ้าง “ไขมันอิ่มตัวต่ำ” “โซเดียมน้อย” “ไม่เติมน้ำตาล/ไม่ใส่น้ำตาล” “เป็นแหล่งของ, มี” “สูง, อุดม” กรณีเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารค่าต่ำสุด = 15% THAI RDIs ค่าสูงสุด = ปรับชนิดและปริมาณตามบัญชีแนบท้ายประกาศฯ

สำหรับผู้ประกอบการที่ผลิตอาหารที่ยื่นขออนุญาตแสดงฉลากโภชนาการก่อนวันที่ประกาศฉบับใหม่บังคับใช้ ผู้ประกอบการยังคงสามารถจำหน่ายต่อไปได้ โดยต้องปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 182) พ.ศ. 2541 เรื่อง ฉลากโภชนาการ แต่ต้องไม่เกินสามปี นับแต่ฉบับใหม่บังคับใช้คือ ไม่เกินวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2570 หลังจากนั้นต้องแสดงฉลากโภชนาการตามประกาศฯ ฉบับใหม่
