เผยแพร่ |
---|
ช่วย SMEs สร้างโอกาสส่งออก รัฐบาลทำ MOU ขายสินค้าบน Rakuten
เมื่อเร็วๆ นี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังหารือกับ Mr.Kazunori Takeda รองประธานบริษัท Rakuten และเป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม MOU ระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กับ Rakuten ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำของญี่ปุ่น ที่มียอดผู้ใช้งานเกิน 50 ล้านคนต่อเดือน เพื่อผลักดันส่งออกสินค้า SMEs ไทย ว่า
ได้หารือกับบริษัท Rakuten ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมีผู้ใช้งานเป็นอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันสินค้าไทยได้รับความสนใจจากผู้บริโภคชาวญี่ปุ่น มีสินค้าไทยที่ขายบนแพลตฟอร์ม Rakuten หลังจากที่ทูตพาณิชย์โตเกียวของไทยได้ร่วมมือจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายกว่า 2,000 รายการ ที่ได้รับความนิยมคือ สินค้าอาหารและเครื่องดื่มสำเร็จรูป สินค้าสปา ข้าวหอมมะลิ และสินค้าสัตว์เลี้ยง
ที่ตนมาครั้งนี้เพื่อผลักดันให้แพลตฟอร์ม Rakuten นำเข้าสินค้าไทยมาจำหน่ายเพิ่มขึ้น จึงได้มีการลงนาม MOU ระหว่างกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กับ Rakuten เพื่อเปิดร้าน TOPTHAI และส่งเสริมการขายสินค้าไทยในตลาดญี่ปุ่น พร้อมเร่งผลักดันผู้ประกอบการรายย่อย SMEs รายใหม่ๆ ให้สามารถขยายตลาดไปยังประเทศญี่ปุ่นผ่านแพลตฟอร์มดังอย่าง Rakuten ได้เพิ่มมากขึ้น คาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้รวมกว่า 600 ล้านเยนต่อปี หรือประมาณ 145 ล้านบาทต่อปี
“การลงนามใน MOU เพื่อเปิดร้าน TOPTHAI บนแพลตฟอร์ม Rakuten ในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มการรับรู้และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับสินค้าไทยในตลาดญี่ปุ่น เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคชาวญี่ปุ่นได้มากขึ้น ทั้งสินค้าผลไม้ไทย อาทิ กล้วยหอม ทุเรียน มังคุด อาหารไทย เครื่องปรุงรส อาหารสัตว์เลี้ยง และผลิตภัณฑ์สปา เป็นต้น ขอบคุณ Rakuten ที่ให้โอกาสประเทศไทยในการนำสินค้ามาขาย สินค้าไทยเป็นสินค้าคุณภาพ รับรองได้ว่าจะไม่ผิดหวังในการใช้สินค้าไทย” นายภูมิธรรม กล่าว
ซึ่งขณะนี้ไทยได้เปิดร้าน TOPTHAI เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการไทย สามารถส่งออกผ่านช่องทางออนไลน์บนแพลตฟอร์มชั้นนำ โดยปัจจุบันได้ดำเนินการแล้วบน 8 แพลตฟอร์ม ใน 9 ประเทศ ได้แก่ Amazon สหรัฐฯ, Tmall จีน, Bigbasket อินเดีย, Blibli อินโดนีเซีย, PcHome ไต้หวัน, Klangthai กัมพูชา, Shopee มาเลเซีย/สิงคโปร์/ฟิลิปปินส์ และ Lazada ซึ่ง Rakuten ญี่ปุ่น จะมีแพลตฟอร์มที่ 9 ในประเทศที่ 10
สำหรับกลุ่มสินค้าที่จะผลักดันเข้าไปจำหน่ายในร้าน TOPTHAI จะเน้นกลุ่มสินค้าใหม่ที่มีศักยภาพของไทย ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มสินค้าฮาลาล กลุ่มสินค้า ESG กลุ่มสินค้า Future Food และกลุ่มสินค้าประเภทงานดีไซน์ เป็นต้น และยังมีแผนจะขยาย TOPTHAI ไปยังตลาดศักยภาพอื่น ไม่ว่าจะเป็นตลาดสำคัญในภูมิภาคเอเชีย ยุโรป และตะวันออกกลางต่อไป
สำหรับตลาดญี่ปุ่น ถือเป็นตลาดออนไลน์ที่มีศักยภาพ และมีส่วนแบ่งทางการตลาดในปี 2566 ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากจีน สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร มีอัตราการเติบโตระหว่างปี 2566-2572 เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 9.05 และคาดว่าจะมีมูลค่าการซื้อขาย ที่ 294.60 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2572 และ Rakuten มียอดผู้ใช้งานเกิน 50 ล้านคนต่อเดือน เป็นแพลตฟอร์มที่มีฐานลูกค้าเป็นจำนวนมาก
และได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้ซื้อมากเป็นอันดับต้นๆ ในญี่ปุ่น มีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ร้อยละ 28 ของตลาดอีคอมเมิร์ซญี่ปุ่น มีอัตราการเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 23.8 มีร้านค้าอยู่บนแพลตฟอร์มกว่า 57,000 ร้านค้า และยอดขายอยู่ที่ 15,300 ล้านเยนต่อวัน (ประมาณ 350 ล้านบาท)
ที่มา มติชนออนไลน์