ทำธุรกิจจิวเวลรี่ ต้องคิดให้ต่าง บริหารให้เป็น

ช่วงนี้หลายคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สถานการณ์เศรษฐกิจค่อนข้างซบเซา ภาพรวมของธุรกิจเครื่องประดับหรือจิวเวลรี่นั้นก็ได้รับผลกระทบอยู่ไม่น้อย เนื่องจากถือว่าเป็นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและไม่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตมากนัก จึงเป็นสินค้ากลุ่มแรก ๆ ที่ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายลง กว่าจะตัดสินใจยอมควักกระเป๋าจึงยากยิ่งกว่าเดิม ส่งผลให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่อยู่ในธุรกิจนี้จำเป็นต้องมีการปรับตัวรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมีแนวทาง ดังนี้

1.สร้างจุดขายใหม่ เพราะเครื่องประดับเป็นสินค้าในกลุ่มแฟชั่น การตัดสินใจซื้อส่วนใหญ่จึงไม่ได้มาจากประโยชน์ใช้สอย แต่มาจากความพึงพอใจเป็นหลัก ดังนั้นจุดขายของสินค้าจึงอยู่ที่ความสวยงาม ต้องตาต้องใจ แต่ทุกวันนี้ความสวยอย่างเดียวยังไม่พอ เอสเอ็มอีควรใส่ความแปลกและแตกต่างลงไปในชิ้นงานด้วย เช่น ใช้วัตถุดิบที่ดูดี มีเรื่องราวตามเทรนด์หรือกระแส เป็นเครื่องประดับที่ลูกค้าออกแบบเองได้ เครื่องประดับจากลายเซ็น กำไลหินมีค่า หรือออกสินค้าใหม่ ๆ ตามเทศกาลสำคัญ เป็นต้น ซึ่งจะทำให้ตัวสินค้าดูมีคุณค่า น่าครอบครอง และจูงใจให้ตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น

2.เข้าใจผู้ซื้อ วิธีการเอาชนะใจลูกค้าที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือ การเข้าถึงความต้องการของลูกค้า และตอบสนองความต้องการนั้นให้ตรงจุด สำหรับลูกค้าเก่าควรเน้นที่บริการหลังการขาย เช่น ซ่อมแซมหรือทำความสะอาดฟรี สร้างความประทับใจ แล้วกลับมาซื้อซ้ำ รวมถึงการบอกต่อ ๆ ไปยังกลุ่มอื่น ๆ ให้ลองมาใช้บริการ ส่วนลูกค้าใหม่ควรเน้นการนำเสนอผลงานของทางร้าน รีวิวความคิดเห็นและการตอบรับจากลูกค้า เพื่อช่วยการันตีถึงคุณภาพสินค้าและการบริการของทางร้าน นอกจากนี้ควรเลือกใช้ช่องทางการสื่อสารให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม เช่น หากอยู่ในกลุ่มวัยรุ่น-วัยทำงาน ก็สื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย หรือหากเป็นกลุ่มวัยกลางคน ให้สื่อสารผ่านช่องทางทีวีช็อปปิ้ง นิตยสาร แผ่นพับ เป็นต้น

3.เพิ่มช่องทางขายออนไลน์ แม้ว่าโดยทั่วไปแล้ว ผู้ประกอบการจะมีโชว์รูมหน้าร้านของตนเองเป็นหลัก แต่การขยายช่องทางการจำหน่ายทางออนไลน์ หรือ e-Commerce นั้นก็น่าสนใจไม่ใช่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ของทางร้านเอง หรือช่องทางโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook Instagram หรือตลาดกลางออนไลน์ (Market Place) เป็นต้น ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ซึ่งสิ่งที่สำคัญมากในการขายออนไลน์ก็คือ รูปภาพของสินค้าที่ต้องโดดเด่นมีความสวยงาม รูปภาพมีความละเอียดสูง รวมถึงรายละเอียดของสินค้าและความหลากหลาย

4.บริหารต้นทุนให้เป็น เนื่องจากต้นทุนการผลิตจิวเวลรี่นั้นมีราคาวัตถุดิบที่อิงกับราคาตลาดโลก เช่น ราคาทองคำ ราคาโลหะเงิน ที่มีความผันผวนตามทิศทางเศรษฐกิจ แล้วยังมีปัจจัยเรื่องค่าเงินบาทกับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งล้วนกระทบต่อวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตทั้งสิ้น เอสเอ็มอีควรติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด รวมถึงการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงต่าง ๆ อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ในเรื่องต้นทุนการผลิต ควรให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุด และปรับวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตให้สามารถลดต้นทุนได้ เช่น ขนาด สัดส่วนโลหะ หรือหินมีค่า ควบคู่ไปกับการออกแบบให้สินค้ายังมีคุณภาพในราคาที่ถูกลง เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้นในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้

ปัจจัยในการเลือกซื้อจิวเวลรี่นั้นมีทั้งเศรษฐกิจ สังคม และรสนิยม ส่งผลให้ผู้บริโภคแต่ละกลุ่มมีพฤติกรรมและค่านิยมที่แตกต่างกันไป ดังนั้นเอสเอ็มอีที่ทำธุรกิจนี้จึงต้องมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน ศึกษาพฤติกรรมการบริโภคของกลุ่มเป้าหมายให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ และที่สำคัญต้องคิดให้ต่าง บริหารให้เป็น