เคยโดนดูถูก ฝ่าอุปสรรคสารพัด กว่าจะเป็น “สวนอินทผาลัมลุงแก้ว”

เคยโดนดูถูก ฝ่าอุปสรรคสารพัด กว่าจะเป็น “สวนอินทผาลัมลุงแก้ว”

ย้อนกลับไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว คุณนกแก้ว ไลภาพ และ คุณประคอง นัยยุติ ได้รับการชักชวนให้ไปดูสวนอินทผลัมของปู่แอ๊ดที่ อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา ด้วยมองว่าพืชผลทางการเกษตรชนิดนี้จะสามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ เนื่องจากอินทผลัมขายได้ราคาดี มีผลผลิตให้เก็บเร็ว และสามารถรับประทานดิบได้

แต่ด้วยความที่อินทผลัม ในภาพจำของคนทั่วไป คือ ผลไม้อบแห้ง ที่เป็นของฝากรสหวาน นำเข้าจากต่างประเทศแถบตะวันออกกลาง และขณะนั้นก็ยังไม่มีการปลูกอย่างแพร่หลาย จึงทำให้หลายคนคัดค้าน และดูถูกต่างๆ นานา ว่าการที่จะปลูกในภาคกลางของไทย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต.บางชะนี อ.บางบาล ซึ่งเป็นบ้านเกิดของคุณนกแก้ว อาชีพหลักคือทำนา ไม่เคยมีใครปลูกพืชเกษตรอื่นๆ

ดังนั้นจึงมองว่า โอกาสที่จะสำเร็จมียาก และยิ่งถ้าปีไหนน้ำท่วม ต้นทุนที่ลงไปจะสูญเปล่า แต่ด้วยความกล้าที่จะเสี่ยง และได้คำแนะนำจากปู่แอ๊ด ซึ่งผ่านปัญหาอุปสรรคต่างๆ นานา แต่อดทน จนถึงวันที่ประสบความสำเร็จ และได้รับการยอมรับ มีรายได้หลักจุนเจือครอบครัวได้ ทั้งคุณนกแก้ว และ คุณประคอง จึงตัดสินใจใช้เงินเก็บและเงินกู้ ลงทุนซื้อต้นอินทผลัมพันธุ์บาฮี รวม 85 ต้น ราคาต้นละ 400 บาท

คุณนกแก้ว ไลภาพ กับผลผลิตน่าชื่นใจ

ช่วงแรกยังไม่ได้เตรียมพื้นที่ จึงปลูกแซมกับต้นกล้วย และด้วยความเป็นมือใหม่ เลยใช้ปุ๋ยขี้วัวบำรุง ไม่ทันคิดว่าเป็นอาหารที่ด้วงสาคูโปรดปราน ยิ่งให้ปุ๋ยก็เหมือนยิ่งเรียกด้วงมากัดลำต้น จนต้องหยุดใช้ และหันไปใช้ขี้ไก่ และน้ำหมักชีวภาพแทน ซึ่งได้ผล ด้วงมารบกวนน้อยลง

กระทั่งผ่านไป 3 ปี สามารถเก็บผลผลิตได้ จึงพบว่า มีต้นตัวผู้มากกว่าตัวเมีย แต่ก็ไม่ได้โค่น เพราะอย่างน้อยได้อาศัยเกสรตัวผู้มาผสมกับเกสรตัวเมีย เพื่อให้ได้ผลผลิต โดยปีแรกได้ผลผลิตต่อต้นประมาณ 8-10 กิโลกรัม แต่รสชาติไม่เสถียร มีรสฝาดอยู่หลายต้น จึงนำไปแปรรูปโดยการอบแห้งขายกล่องละ 150 บาท (ครึ่งกิโลกรัม) และทำเป็นน้ำปั่นจำหน่าย  ส่วนต้นไหนที่รสชาติหวานจะขายดี ปีแรกขายได้ราคากิโลกรัมละ 500 บาท แต่ปัจจุบันอยู่ที่กิโลกรัมละ 300 บาท

และเพื่อแก้ปัญหาเรื่องรสชาติ คุณนกแก้วจึงตัดสินใจซื้อต้นพันธุ์เนื้อเยื่อ ซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ราคาค่อนข้างสูง มีตั้งแต่ 2,000-10,000 บาทต่อต้น เพราะประเทศไทย ยังไม่สามารถผลิตได้ โดยซื้อต้นพันธุ์เนื้อเยื่อมาอีก 40 ต้น ในราคาต้นละ 2,000 บาท ซึ่งเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ เพราะต้องกู้เงินไปลงทุน และทั้ง 40 ต้นออกผลผลิตปีนี้เป็นปีแรก รสชาติหวานอร่อย ส่วนต้นพันธุ์ที่ปลูกเมื่อ 7 ปีก่อน เริ่มให้ผลผลิตที่มากขึ้น ต้นละ 30-40 กิโลกรัม

พร้อมต้อนรับแขกผู้มาเยือน

ล่าสุด ทุกวันนี้ “สวนลุงแก้ว” ได้มีโอกาสต้อนรับผู้คนที่มาจากทั่วสารทิศ เข้ามาเยี่ยมชมสวนและซื้ออินทผลัม ติดไม้ติดมือกลับบ้านเป็นของฝากพรีเมียม แต่สิ่งที่ได้นอกเหนือจากเงินทอง คือ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพราะบางคนบอกว่า อินทผลัมออกมาในท้องตลาดเยอะ ราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 100-150 บาท ก็มี

แต่ “สวนของลุงแก้ว” ขายกิโลกรัมละ 300 บาท เนื่องจากเป็นอินทผลัม ออร์แกนิก เกรดพรีเมียม ไม่ใช้สารเคมี ได้มาชิม และตัดสดๆ ในสวน เมื่อได้มีการพูดคุยก็เข้าใจ นอกจากนี้ ยังทำให้รู้ว่า ปีนี้อินทผลัมสีแดงเป็นที่นิยม มีคนถามหาเยอะ คุณนกแก้วเลยตัดสินใจ สั่งเนื้อพันธุ์บาฮีสีแดงมาอีก 4 ต้น ราคาต้นละ 5,000 บาท

“สวนลุงแก้ว” นับเป็นสวนอินทผลัมเพียงสวนเดียว ของ อ.บางบาล และยังเป็นพืชสวนออร์แกนิก ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตร การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืชอาหาร จากกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงทำให้ได้รับความนิยมและไม่เพียงพอต่อการจำหน่าย คุณนกแก้ว จึงอยากให้มีเกษตรกรเพิ่ม เพื่อให้เกิดการรวมกลุ่ม

แต่ด้วยต้นพันธุ์ที่ราคาค่อนข้างสูง จึงเป็นอุปสรรคสำคัญของชาวบ้าน จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานที่สามารถเพาะพันธุ์เนื้อเยื่อ อินทผลัมสายพันธุ์ต่างๆ เพื่อลดต้นทุนที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เพราะอินทผลัม เป็นพืชที่ดูแลง่าย สามารถทำเป็นอาชีพเสริมได้ เพราะคุณนกแก้ว มีอาชีพหลักคือทำนา ในวันหยุด คุณกิตติ ไลภาพ ลูกชายของคุณนกแก้ว จะคอยดูแลตัดหญ้า ใส่ปุ๋ย ทำระบบรดน้ำ และยังเป็นกำลังสำคัญ ในการใช้โซเชียลมีเดีย โปรโมต “สวนลุงแก้ว” จนเป็นที่รู้จักแพร่หลาย

อินทผลัมอบแห้ง

อย่างที่กล่าวแล้วว่า ศัตรูหลักของอินทผลัมคือ ด้วงสาคู ซึ่งคุณนกแก้ว บอกว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่ อ.บางบาล ชาวบ้านนำทรายมาทำเป็นคันกั้นน้ำกันมาก พอน้ำแห้ง จึงทำให้มีทรายเหลือทิ้งเป็นจำนวนมาก คุณนกแก้วเลยเอามาถมที่โคนต้นอินทผลัมเพื่อป้องกันด้วง ทำให้ด้วงเข้าไปเจาะลำต้นไม่ได้ ปีนี้เลยสั่งทรายมาเพิ่มเพื่อนำไปใส่โคนต้นทั้งสวนกว่า 100 ต้น

อย่างไรก็ตาม แม้อินทผลัม จะได้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดี แต่ค่าใช้จ่ายหลักคือ ค่าน้ำ ค่าไฟ และสร้างระบบรดน้ำ เพราะถึงแม้จะเป็นน้ำจากคลองชลประทาน แต่ชาวนา ชาวสวน ต.บางชะนี ต้องเสียค่าสูบน้ำ เพื่อรดพืชผลทางการเกษตร และทำนา ซึ่งเป็นปัญหาหลักของเกษตรกรที่นี่มาโดยตลอดในช่วงฤดูแล้ง ดีที่ว่าอินทผลัมเป็นพืชที่แข็งแรง ทนแล้งได้ดี จึงสามารถรดน้ำ 2-3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ได้

“หวังว่ารัฐบาล จะมีโครงการโซลาร์เซลล์ มาแบ่งเบาภาระเกษตรกรได้บ้าง เพราะอินทผลัม แม้จะได้ราคาดี แต่ก็ให้ผลผลิตปีละครั้ง แต่เกษตรกรชาวสวนต้องดูแลตลอดทั้งปี เราต้องแบกภาระค่าไฟฟ้าที่สูงมากในแต่ละเดือน” คุณนกแก้ว บอกอย่างนั้น

น้ำอินทผลัม

ก่อนถือโอกาส เชิญชวนพี่น้องเกษตรกรที่มีที่ดินและพอมีกำลังในการลงทุน ให้หันมาปลูกอินทผลัมกันให้มาก เพื่อรวมกันเป็นกลุ่มให้เกิดความเข้มแข็ง และสามารถขอการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐได้ และทาง “สวนลุงแก้ว” ก็พร้อมที่จะเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับทุกคน เพื่อให้เติบโตไปด้วยกัน

สำหรับสวนอินทผาลัมลุงแก้ว ตั้งอยู่ที่ หมู่ 3 ต.บางชะนี อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ผู้สนใจ สามารถดูรายละเอียดได้ที่เพจเฟซบุ๊ก “สวนอินทผาลัมลุงแก้ว บางบาลอยุธยา” หรือสอบถามเส้นทางได้ที่ โทร. 095-953-1048