ปักหมุดเที่ยว 3 วัดดัง ตามรอยลิซ่า BLACKPINK สวมผ้าไทยไหว้พระ 

ปักหมุดเที่ยว 3 วัดดัง ตามรอยลิซ่า BLACKPINK สวมผ้าไทยไหว้พระ 

จากกระแสฟีเวอร์ เมื่อ “ลิซ่า BLACKPINK” สวมผ้าไทยเที่ยวโบราณสถานและวัดดังในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นการพักผ่อนในประเทศไทยหลังจากเล่นคอนเสิร์ต BLACKPINK WORLD TOUR [BORN PINK] BANGKOK ENCORE เมื่อวันที่ 27-28 พ.ค. ที่ผ่านมา

โดยหลังจากที่ลิซ่าโพสต์ภาพสวมผ้าไทยเที่ยววัดในอินสตาแกรมก็ทำให้หลายคนอยากตามรอยเที่ยวแบบลิซ่ากันยกใหญ่ ถ้าอย่างนั้น เรามาทำความรู้จัก 3 วัดดังอยุธยาที่ลิซ่าไปเที่ยวกันดีกว่า

ภาพจาก Instagram @lalalalisa_m
ภาพจาก Instagram @lalalalisa_m

วัดมหาธาตุ

วัดมหาธาตุ ตั้งอยู่ในตัวเมืองอยุธยา บริเวณเชิงสะพานป่าถ่าน ทางทิศตะวันออกของวัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นปรางค์ที่สร้างในสมัยอยุธยาตอนตั้น ซึ่งได้รับอิทธิพลจากขอม สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 และต่อมาสมเด็จพระราเมศวรโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ใต้ฐานพระปรางค์ประธานของวัดเมื่อ พ.ศ. 1927

พระปรางค์ของวัดมหาธาตุชั้นล่างสร้างด้วยศิลาแลง ส่วนที่เสริมใหม่ตอนบนมีลักษณะเป็นอิฐถือปูน โดยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองได้ทรงปฏิสังขรณ์พระปรางค์ใหม่ให้สูงขึ้น แต่ปัจจุบันส่วนยอดพังลงมาเหลือเพียงชั้นมุขเท่านั้น

ต่อมากรมศิลปากรได้ขุดแต่งพระปรางค์องค์นี้เมื่อ พ.ศ. 2499 และพบของโบราณหลายชิ้น เช่น ผอบศิลา ที่ภายในมีสถูปซ้อนกัน 7 ชั้น แบ่งออกเป็น ชิน เงิน นาก ไม้ดำ ไม้จันทน์แดง แก้วโกเมน และทองคำ ชั้นในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและเครื่องประดับอันมีค่า โดยปัจจุบันพระบรมสารีริกธาตุถูกนำไปประดิษฐานไว้ที่พิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา

ไฮไลต์ของวัดมหาธาตุคือ “เศียรพระพุทธรูปหินทราย” ที่มีรากไม้ปกคลุม สันนิษฐานว่า เมื่อครั้งเสียกรุง เศียรพระพุทธรูปน่าจะหล่นลงมาอยู่ที่โคนต้นไม้จนรากไม้ขึ้นปกคลุม เกิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันซีนที่งามแปลกตาอีกแห่งหนึ่ง

ภาพจาก Instagram @dianaflipo
ภาพจาก Instagram @dianaflipo

วัดแม่นางปลื้ม

วัดแม่นางปลื้มเป็นวัดเก่าแก่อีกวัดหนึ่งของอยุธยาที่เต็มไปด้วยตำนานและเรื่องราว มีพระประธานของวัด คือ “หลวงพ่อขาว” (พระพุทธนิมิตมงคลศรีรัตนไตร) องค์สีขาวบริสุทธิ์ ศิลปะสมัยอยุธยาตอนต้นซึ่งเป็นที่ศรัทธาของชาวอยุธยา

ตามตำนานเล่าว่า แม่ปลื้มเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมน้ำชานพระนคร วันหนึ่งที่ฝนตก “สมเด็จพระนเรศวร” ทรงพายเรือมาพระองค์เดียว เมื่อทอดพระเนตรเห็นกระท่อมจึงทรงแวะขึ้นมาประทับ แม่นางปลื้มเห็นชายเปียกฝนมาจึงได้กล่าวเชื้อเชิญด้วยความมีน้ำใจโดยไม่รู้ว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน

ด้วยความที่พระองค์เสียงดัง แม่ปลื้มจึงกล่าวเตือนว่าอย่าเสียงดังนักเลย เนื่องจากเป็นเวลาค่ำมากแล้วเดี๋ยวพระเจ้าแผ่นดินได้ยินจะทรงโกรธ พระนเรศวรตรัสอีกว่าอยากดื่มน้ำจัณฑ์ (เหล้า) เพราะทั้งเปียกและหนาว แม่ปลื้มยิ่งตกใจขึ้นมากกว่าเดิมเพราะว่าวันนี้เป็นวันพระ

แต่แม่ปลื้มได้ตอบกลับไปว่า ถ้าจะดื่มจริงๆ ต้องสัญญาว่าจะไม่บอกใคร หากพระเจ้าแผ่นดินรู้จะเป็นอันตราย พระนเรศวรทรงรับปากแม่ปลื้มจึงได้นำน้ำจัณฑ์มาถวาย

สมเด็จพระนเรศวรได้ประทับค้างคืนที่บ้านของแม่ปลื้มจนเช้าก่อนเสด็จกลับ จากนั้นได้จัดขบวนมารับแม่ปลื้มไปเลี้ยงในวัง ด้วยความที่แม่ปลื้มเป็นคนมีเมตตา หลังจากแม่ปลื้มเสียชีวิตจึงโปรดให้สร้างวัด ชื่อ “วัดแม่นางปลื้ม”

อย่างไรก็ตาม “สุจิตต์ วงษ์เทศ” เคยกล่าวในมติชนว่า แม้เรื่องดังกล่าวจะเป็นนิทานไม่ใช่เรื่องจริง แต่ก็สะท้อนอายุ ความเก่าแก่ และความสำคัญของวัดได้เป็นอย่างดี

วัดแม่นางปลื้ม อยู่นอกเกาะเมือง ฝั่งตรงข้ามป้อมมหาไชย ในอดีตกองทัพอังวะเคยใช้ตั้งทัพและระดมยิงปืนใหญ่ข้ามกำแพงเข้ามาในเมือง และส่งคนข้ามคลองเมืองไปขุดรากกำแพงป้อม ฝังระเบิด จนสามารถเปิดทางเข้าเมืองได้เป็นแห่งแรก เมื่อครั้งกรุงแตก

ภาพจาก ayutthaya.go.th
ภาพจาก ayutthaya.go.th

วัดหน้าพระเมรุ

เดิมวัดหน้าพระเมรุชื่อว่า “วัดพระเมรุราชิการาม” สันนิษฐานว่าที่ตั้งของวัดคงเป็นสถานที่สำหรับสร้างพระเมรุถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระมหากษัตริย์พระองค์ใดพระองค์หนึ่งสมัยอยุธยาตอนต้นและต่อมาจึงได้สร้างวัดขึ้น

รูปแบบทางศิลปะสถาปัตยกรรมไทยของโบสถ์วัดหน้าพระเมรุเป็นแบบอยุธยายุคต้น มีเอกลักษณ์สำคัญคือ นิยมทำเสาร่วมในประธานเป็นเสาแปดเหลี่ยมหรือเสากลม มีบัวหัวเสาเป็นบัวโถหรือบัวกลุ่ม

วัดนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เมื่อครั้งสมเด็จพระมหาจักรพรรดิทำศึกกับพระเจ้าบุเรงนองและสงบศึกกันเมื่อ พ.ศ. 2106 ได้สร้างพลับพลาที่ประทับขึ้นระหว่างวัดหน้าพระเมรุกับวัดหัสดาวาส

พระประธานในอุโบสถสร้างปลายสมัยอยุธยาในรัชสมัยพระเจ้าปราสาททองที่ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2172-2199 เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ ประทับนั่งขัดสมาธิราบ ปรางมารวิชัย มีนามว่า “พระพุทธนิมิตวิชิตมารโมลีศรีสรรเพชญ์บรมไตรโลกนาถ” จัดเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องสมัยอยุธยาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่มีปรากฏอยู่ในปัจจุบันและมีความสมบูรณ์งดงามมาก สูงประมาณ 6 เมตรหน้าตักกว้างประมาณ 4.40 เมตร

อย่างไรก็ตาม หลังเสียกรุงครั้งที่ 2 พระอุโบสถวัดหน้าพระเมรุได้ถูกทิ้งร้างไป จนกระทั่งในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ได้บูรณปฏิสังขรณ์วัดนี้ขึ้นมาใหม่และได้ผ่านการบูรณะซ่อมแซมอีกหลายครั้งจนถึงปัจจุบัน

วัดหน้าพระเมรุ ตั้งอยู่บริเวณริมคลองสระบัว เป็นวัดเดียวในกรุงศรีอยุธยาที่ไม่ถูกทัพพม่าทำลายเมื่อครั้งเสียกรุงครั้งที่ 2 จากหลักฐานและข้อมูลพงศาวดารต่างๆ สันนิษฐานว่าพระอุโบสถน่าจะสร้างขึ้นก่อน พ.ศ. 2106 หรืออาจสร้างก่อนสมัยอยุธยา โดยยังคงปรากฏสถาปัตยกรรมแบบอยุธยาอยู่ในสภาพสมบูรณ์มากที่สุดในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ที่มา ประชาชาติธุรกิจ