“เคแบงก์”เผยไทยมีเงินออมสูงกว่าเงินลงทุนทำให้ศก.ไม่สมดุล

นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวในงานสัมมนา “จับทิศทางค่าเงิน อัตราดอกเบี้ยและหุ้นเด่น” ที่โรงแรมเรเนซองส์ ราชประสงค์ ว่า เศรษฐกิจไทยในขณะนี้ยังอยู่ในภาวะไม่สมดุล เนื่องจากอัตราการออมมากกว่าอัตราการลงทุน ส่งผลให้เศรษฐกิจไม่เติบโตเท่าที่ควร โดยอัตราการออมเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) อยู่ที่ 32% ขณะที่อัตราการลงทุนต่อจีดีพีอยู่ที่ 22% ทำให้มีส่วนต่างของอัตราการออมกับการลงทุนต่อจีดีพีที่ 9.6% และมีอัตราของดุลบัญชีเดินสะพัดต่อจีดีพีที่ 12.1% ซึ่งยังอยู่ในระดับสูง และไทยยังเกินดุลบัญเดินสะพัดต่อเนื่อง ปัจจุบันอยู่ที่ 4.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามมองระดับที่เหมาะสมของอัตราดุลบัญชีเดินสะพัดต่อจีดีพี ไม่ควรเกิน บวกหรือลบ 3% ดังนั้นเพื่อกระตุ้นการลงทุนและสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจ ในแง่นโยบายการเงิน คาดว่าจะยังเห็นธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ที่ระดับ 1.50% ทั้งปีนี้เพื่อช่วนหนุนเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันควรปฏิรูปเงินทุนให้เคลื่อนย้ายอย่างเสรี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยและนักลงทุนต่างสามารถเลือกลงทุนได้ตามความน่าสนใจของผลตอบแทน

“การลดอัตราดอกเบี้ยของ ธปท. ไม่ได้ช่วยนักที่จะกระตุ้นการลงทุนในขณะนี้ แต่ควรใช้เครื่องมือที่มีอยู่ เช่น การดูแลค่าเงินให้อยู่ในระดับเหมาะสมทั้งต่อผู้ลงทุนและส่งออก อย่างไรก็ตามเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ธปท.ได้เข้าแทรกแซงค่าเงิน เพื่อไม่ให้เงินบาทแข็งค่าเกินไป ด้วยการซื้อเงินเข้ามา 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อรักษาค่าเงินบาทให้อยู่ในกรอบเหมาะสมที่ 35-36 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ”นายกอบสิทธิ์กล่าว และว่า คาดการณ์ค่าเงินบาทที่สิ้นปีนี้จะยังอยู่ในกรอบ 36-36.5 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ และเศรษฐกิจไทยปีนี้จะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป คาดขยายตัว 3.3% จากปัจจัยบวกการท่องเที่ยวที่ยังดี การส่งออกมีแนวโน้มดีขึ้นจากราคาน้ำมันขาขึ้น และการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ

นายกอบสิทธิ์ กล่าวว่า ปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ แม้ว่าหลายฝ่ายจะคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถึง 3 ครั้งในปีนี้ แต่ทางธนาคารมองว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในช่วงปลายปีนี้ หรือราวเดือนธันวาคมปีนี้ เพราะยังมีปัจจัยความไม่แน่นอนหลายอย่างของสหรัฐฯ เช่น การลดภาษีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดาว่าจะกระทบอัตราเงินเฟ้อมากน้อยเพียงใด การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานว่าจะทำได้แค่ไหน รวมทั้งสงครามการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับจีนว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ในระดับใด ประกอบกับปัจจัยการเลือกตั้งของหลายประเทศในสหภาพยุโรปซึ่งจะส่งต่อความชัดเจนของนโยบายเศรษฐกิจ

นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า คาดว่าภาวะตลาดหุ้นไทยปีนี้จะยังคงทรงตัวเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 1,570 จุด โดยมีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) อยู่ที่ 15 เท่า และมีอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อหุ้น(EPS) อยู่ที่ 102 บาทต่อหุ้น ดัชนีฯปีนี้คาดใกล้เคียงปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1,563 จุด หากปีนี้เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้ง และธปท.คงดอกเบี้ยที่ 1.5%

“คาดว่าในไตรมาส 2 ปีนี้ หากดัชนีฯ ลงต่ำกว่า 1,500 จุด จะมีเงินทุนเคลื่อนย้ายจากพันธบัตรรัฐบาลทยอยมาลงทุนในหุ้นรวมทั้งปีที่ 1-2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ จากเงินทุนที่มีในพันธบัตรฯทั้งหมด 6 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ เนื่องจากช่วงไตรมาส 2 เป็นฤดูขาลงของตลาดหุ้น ที่มีเงินไหลออกจากบริษัทจ่ายปันผล ช่วงขาลงของการส่งออกและการท่องเที่ยวและบริการ สำหรับกลุ่มหุ้นที่แนะนำในปีนี้ หากเศรษฐกิจโลกยังโต ราคาน้ำมันยังสูงขึ้น คือ กลุ่มพลังงาน และกลุ่มธนาคาร กลุ่มค้าปลีก กลุ่มส่งออก กลุ่มท่องเที่ยวอย่างโรงแรม และกลุ่มที่เกี่ยวกับการลงทุนของภาครัฐไทย”นายกวีกล่าว