หยุดปัญหาบูลลี่! นันยาง ออกรองเท้ารุ่นพิเศษ พร้อมอัปเดตตลาดรับเปิดเทอม 

หยุดปัญหาบูลลี่! นันยาง ออกรองเท้ารุ่นพิเศษ พร้อมอัปเดตตลาดรับเปิดเทอม 

เพราะปัญหาการบูลลี่ยังมีอยู่ในสังคมไทย โดยข้อมูลจากกรมสุขภาพจิต พบว่า ประเทศไทยมีการบูลลี่ในโรงเรียนสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก ด้วยเหตุนี้ทำให้ นันยาง รองเท้าที่อยู่คู่นักเรียนไทยมายาวนาน 70 ปี เดินหน้าประกาศจุดยืนเป็นแนวร่วมเด็กไทยยุติปัญหาด้วยแคมเปญ “BULLY NO MORE” พร้อมอัปเดตตลาดรองเท้านักเรียนไทยก่อนถึงช่วงเปิดเทอมในเดือนพฤษภาคมนี้

ดร.จักรพล จันทวิมล กรรมการผู้จัดการ บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง กล่าวถึงแคปเปญ BULLY NO MORE ว่า นันยางได้เจาะลึกอินไซต์เด็กนักเรียนไทย พบว่า ฝันสูงสุดคือต้องการหยุดปัญหาและพฤติกรรมการบูลลี่ในโรงเรียน หลังกรมสุขภาพจิตเผยไทยกลายเป็นประเทศที่มีปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียนสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก ซึ่งปัจจุบันทวีความรุนแรงมากขึ้นทั้งลักษณะการกลั่นแกล้ง และการบูลลี่ ซึ่งได้รับผลกระทบด้านความรู้สึก เช่น ไม่อยากเจอเพื่อน ไม่อยากไปโรงเรียน ตลอดจนเป็นโรคซึมเศร้า และการฆ่าตัวตาย

โดยนันยางได้จัดทำสื่อ “คำขอโทษจากนันยาง” ที่ไม่เพียงแต่ต้องการแสดงให้สังคมเห็นถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่นันยางได้เคยสื่อสารไปในอดีต ซึ่งบางครั้งอาจมีเนื้อหาบางส่วนเข้าข่ายการบูลลี่โดยไม่ได้ตั้งใจ

และการออกมาขอโทษในครั้งนี้จะเป็นตัวอย่างที่ดีในการจุดประกายแนวคิดให้แก่นักเรียนที่เคยมีพฤติกรรมการบูลลี่คนอื่น ทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ได้เกิดการฉุกคิดและปรับเปลี่ยนมุมมองต่อเรื่องนี้เช่นเดียวกับนันยางตระหนัก

ซึ่งในแคมเปญนี้ นันยางได้พัฒนา รองเท้าผ้าใบนักเรียนรุ่นพิเศษ “Nanyang ‘BULLY NO MORE’ Special Edition” จำนวน 2566 คู่ ที่สละพื้นที่โลโก้นันยางบนรองเท้า ให้เป็นข้อความเชิงสัญลักษณ์ BULLY NO MORE เพื่อประกาศจุดยืนในเรื่องนี้ให้ชัดเจน

ซึ่งรองเท้ารุ่นพิเศษนี้ไม่มีวางจำหน่ายทั่วไป แต่จะเปิดโอกาสให้นักเรียนนำรองเท้าคู่เก่ามาแลกรองเท้ารุ่นพิเศษนี้ ส่วนรองเท้าคู่เก่าจะถูกนำไปเป็นส่วนหนึ่งของชิ้นงาน Art Installation ที่ประกอบขึ้นเป็นข้อความเชิงสัญลักษณ์ BULLY NO MORE 

ที่สำคัญที่สุดคือ ทุกคนที่เข้าร่วมกิจกรรมนี้ จะได้ทำการประทับรอยเท้าแสดงจุดยืนร่วมกัน ตอกย้ำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในการยุติปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียนให้หมดไปผ่านแนวคิด ‘ย่ำให้เต็มที่ แต่ไม่ย่ำยีใคร’

อัปเดตตลาดรองเท้านักเรียนรับเปิดเทอม

ดร.จักรพล กล่าวต่อถึงภาพรวมตลาดรองเท้านักเรียนในไทยว่า ในปี 2566 จะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา เพราะกำลังซื้อเริ่มกลับมาหลังจากการประกาศให้โควิด-19 กลายเป็นโรคประจำถิ่น ทำให้ผู้คนกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติ และเม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่ระบบทำให้เศรษฐกิจโดยรวมเกิดความคล่องตัวเพิ่มขึ้นกว่าช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

ซึ่งสัญญาณบวกเหล่านี้จะหนุนให้ตลาดรองเท้านักเรียนกลับมาคึกคักรับช่วงเปิดเทอมในเดือนพฤษภาคมนี้ได้อย่างแน่นอน โดยคาดว่าในปีนี้ รองเท้าผ้าใบนักเรียนของนันยางจะมีอัตราการเติบโตขึ้นประมาณ 8-10% ซึ่งเติบโตสูงกว่าตลาดรวมที่คาดว่าจะอยู่ประมาณ 3-5%

“ปัจจุบันตลาดรองเท้านักเรียนทุกประเภทในไทยมีมูลค่ารวมประมาณ 5,000 ล้านบาท หากดูเฉพาะตลาดรองเท้าผ้าใบนักเรียน พบว่า นันยางครองส่วนแบ่งเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 43-44% มีกำลังการผลิต 10 ล้านคู่ต่อปี ซึ่งในปี 2566 นอกจากรองเท้าผ้าใบไซซ์ใหญ่ของนันยางที่สามารถสร้างส่วนแบ่งการตลาดให้เพิ่มขึ้นแล้ว

บริษัทฯ ยังได้กำหนดกลยุทธ์เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มรองเท้านักเรียนไซซ์เล็กให้มากขึ้น ด้วยการทำการตลาดของรองเท้านันยาง รุ่น Have Fun ที่มีคุณสมบัติ เบา นุ่ม สบาย ไม่ต้องผูกเชือก ลดการสัมผัสเชื้อโรค ที่ปัจจุบันผู้ปกครองรู้จักเป็นอย่างดี และเป็นกระแสนิยมอย่างมากของกลุ่มเด็กนักเรียนในระดับประถมศึกษาทั่วประเทศ 

ด้านช่องทางการขายต่างประเทศ นันยางยังคงมียอดขายเพิ่มขึ้น จากกลยุทธ์การร่วมมือกับภาครัฐนำสินค้าไทยไปขยายตลาดในต่างประเทศ มีการออกบูธแสดงสินค้าในต่างประเทศ ส่งผลให้รองเท้าผ้าใบนันยางเป็นที่รู้จักในระดับสากลมากขึ้น เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายสำคัญอย่างในวงการกีฬาตะกร้อ และเทคบอลที่กำลังเป็นกระแสในปัจจุบัน จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งใน Soft Power ของไทยในปัจจุบัน”