กระทรวงแรงงานยกระดับมาตรฐาน ช่างทำฟันปลอม

นายธีรพล ขุนเมือง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) เปิดเผยหลังเข้าตรวจเยี่ยมสถานประกอบกิจการที่เข้าร่วมโครงการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน ณ บริษัท เอ็กซา ซีแลม จำกัด เพื่อส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานในภาคอุตสาหกรรม และเตรียมความพร้อมให้แก่แรงงานในการก้าวสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ว่า บริษัท เอ็กซา ซีแลม จำกัด เป็นบริษัทประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตฟันปลอมและงานทันตกรรมจัดฟัน ผลิตงานทันตกรรมครบวงจรมากว่า 19 ปี มีพนักงานรวมทั่วประเทศกว่า 600 คน ให้บริการทั้งภายในประเทศและส่งออกต่างประเทศ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในฐานะ “เจ้าพ่อโคลนนิ่งฟันปลอม” สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ตำบลสันพระเนตร อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ บริษัทได้เข้าร่วมโครงการเพิ่มผลิตภาพแรงงานไทยประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2560 กับสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานเทคโนโลยีชั้นสูง ภาคเหนือตอนบน 1 เชียงใหม่ เพื่อพัฒนาทักษะและยกระดับความรู้ของพนักงาน ให้มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และต้องการลดการสูญเสียในวงจรการผลิต

นายธีรพลกล่าวว่า โครงการเพิ่มผลิตภาพแรงงานที่ กพร.ดำเนินการนั้น เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล และพลเอกศิริชัย ดิษฐกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่มุ่งเน้นเพิ่มผลิตภาพแรงงาน พร้อมสู่ไทยแลนด์ 4.0 ด้วย เพื่อเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยมีเป้าหมายในการ Re-skill แรงงานไปสู่แรงงานที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และทักษะสูง ได้มาตรฐานฝีมือแรงงาน โดยเน้นการประยุกต์ใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม คณิตศาสตร์ และองค์ความรู้ด้านการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน โดยเฉพาะการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบให้กับพนักงาน ตามแนวทาง STEM Workforce ให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดการสูญเสียในวงจรการผลิตหรือบริการ เพื่อลดต้นทุนที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่ม และนำไปเป็นต้นแบบในสายการผลิตอื่นต่อไปด้วย ปัจจุบันคณะที่ปรึกษาโครงการและผู้ควบคุมงานของโครงการเพิ่มผลิตภาพได้ให้คำปรึกษาแก่บริษัท และดำเนินการอยู่ในช่วงที่ 2 คือการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะให้กับพนักงานให้มีความรู้เกี่ยวกับการเพิ่มผลิตภาพ โดยให้แนวคิดการผลิตแบบ LEAN มาใช้ลดการสูญเสียของกระบวนการผลิต

นายอภิชัย มีเกียรติชัยกุล รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า นอกจากบริษัทจะเข้าร่วมโครงการดังกล่าวแล้ว ยังร่วมกันจัดทำมาตรฐานฝีมือแรงงานของผู้ประกอบอาชีพ “สาขาช่างทันตกรรม ระดับ 1” ด้วย ซึ่งในการจัดทำมาตรฐานฯดังกล่าว จะเป็นประโยชน์ในการคัดเลือกบุคลากรเข้าทำงาน สามารถนำมาตรฐานฯไปใช้วัดระดับความรู้ความสามารถ ทักษะฝีมือ รวมถึงทัศนคติต่อการทำงานของพนักงาน หรือใช้ในการวางแผนการพัฒนาทักษะให้กับพนักงานให้สูงขึ้น หรือเลื่อนตำแหน่งงานให้กับพนักงาน ช่วยลดปัญหาความขัดแย้ง อีกทั้งเป็นการเพิ่มคุณภาพของสินค้าและการบริการ สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และที่สำคัญ พนักงานเองก็จะได้ทราบระดับทักษะฝีมือและข้อบกพร่องของตนเอง และรับค่าจ้างที่เป็นธรรมอีกด้วย

ที่มา มติชนออนไลน์