โคราชวากิว ขายกัน กิโลละ 5,000-7,000 บาท สู่โต๊ะอาหาร ผู้นำเอเปค

วันที่ 17 พฤศจิกายน 2565 หลังจากมีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับเมนูอาหารที่นำเสนอต่อผู้นำเขตเศรษฐกิจ APEC (Gala Dinner) ในงานเลี้ยงอาหารค่ำวันนี้ (17 พ.ย. 65) โดย 1 ในเมนูที่ประเทศไทยนำเสนอก็คือ “เมนูโคราชวากิวย่างถ่านสมุนไพรจิ้มแจ่ว” เมนูอาหารเรียกน้ำย่อย ที่ดึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเนื้อวัวโคราชวากิวออกมาได้อย่างโดดเด่น เป็นที่รู้กันดีว่าปริมาณไขมันแทรกในเนื้อวัวที่สูง ทำให้เนื้อมีรสชาตินุ่มอร่อย

รศ.ดร.รังสรรค์ พาลพ่าย อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีชีวภาพ สำนักวิชาเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ซึ่งเป็นนักวิจัยผู้พัฒนาสายพันธุ์โคราชวากิว เปิดเผยว่า รู้สึกภูมิใจแทนเกษตรกรชาวโคราชเป็นอย่างมาก ที่สามารถผลิตเนื้อวากิวสุดยอดอาหารอร่อยอย่างหนึ่งของเมืองไทย

และได้เป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่มีคุณภาพ เพื่อรังสรรค์ให้ผู้นำระดับประเทศในการประชุมเอเปคครั้งนี้ทุกประเทศได้ลิ้มลองเนื้อโคราชวากิวเลิศรส ซึ่งอาจเป็นอีกช่องทางในการนำเสนอเนื้อโคราชวากิวสู่สายตาคนทั่วโลก เปิดโอกาสในการส่งออกสู่ต่างประเทศ เพิ่มมูลค่าเนื้อวัวให้มีราคาที่ดีขึ้น

จุดเด่นของ โคราชวากิว จะคล้ายกับเนื้อของออสเตรเลีย เป็นวากิวลูกผสมเหมือนกัน แต่ความอร่อยของโคราชวากิวนั้นไม่แพ้เนื้อออสเตรเลีย เพราะโคราชวากิวขุนประณีตแบบประเทศญี่ปุ่น มีการดูแลอย่างดี และทั่วถึง

ใช้อาหารธัญพืชสำหรับขุน ตั้งแต่รำข้าว ปลายข้าว ข้าวโพด และมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่จะช่วยทำให้มีไขมันแทรกในเนื้อได้ดี ซึ่งหลังจากงานประชุมเอเปคผ่านไป คาดหวังว่า โคราชวากิวจะได้รับการยอมรับว่าเป็นเนื้อชั้นยอด ถึงได้ถูกจัดขึ้นเสิร์ฟเป็นเมนูอาหารให้กับผู้นำเอเปค

นายจีระศักดิ์ คาระวิวัฒนา ประธานชมรมผู้ประกอบการร้านอาหารจังหวัดนครราชสีมา และเจ้าของร้านอาหาร ด๊ะดาด สเต็กจิ้มก๊ะแจ่ว เปิดเผยว่า หลังจากโคราชวากิวถูกนำไปปรุงเป็นเมนูอาหารให้กับผู้นำเอเปค ถือเป็นเรื่องดีที่ต่างประเทศจะได้รู้จักกับเนื้อโคราชวากิว และทุกฝ่ายจะได้ช่วยกันพัฒนา และผลักดันให้การเลี้ยงวัวโคราชวากิวเป็นสัตว์เศรษฐกิจอย่างหนึ่ง

ทั้งนี้ รสชาติของเนื้อโคราชวากิวจะมีความนุ่ม หอม และหวานนิดๆ ติดปลายลิ้น ซึ่งรับรองว่าหากใครได้ชิมรสชาติของโคราชวากิวรับรองว่าติดใจ และจะต้องสั่งกินอีกอย่างแน่นอน ปัจจุบันราคาเนื้อโคราชวากิวอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 5,000-7,000 บาท ขึ้นอยู่กับคุณภาพของเนื้อ

ที่มา ประชาชาติธุรกิจ