เผยแพร่ |
---|
ทำไม ทุเรียนเวียดนาม ถึงเติบโตในตลาดจีน และทางรอดไทย แก้เกมยังไง
หลังเวียดนามได้ไฟเขียวจากจีนให้นำเข้าทุเรียนสดได้ กลายเป็นเรื่องน่ากังวลใจของผู้ส่งออกไทย เพราะทุเรียนเวียดนามมีโอกาสเติบโตในตลาดจีน และในอนาคตข้างหน้า ยังมี ฟิลิปปินส์, สปป.ลาว และกัมพูชา ต่อคิวรับไฟเขียวจากจีน นอกจากนี้ ยังมีทุเรียนแช่แข็งจากมาเลเซียด้วย
นายสัญชัย ปุรณะชัยคีรี นายกสมาคมผู้ค้าและผู้ส่งออกผลไม้ไทย และเจ้าของล้ง “ดรากอน เฟรช ฟรุท” จังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นผู้ส่งออกทุเรียนไทยรายใหญ่ กล่าวกับเว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ ว่า ทุเรียนเวียดนามมีโอกาสเติบโตในตลาดจีน ด้วยเหตุผล 3 ข้อหลัก คือ 1. ระยะทางขนส่งใกล้กว่า 2. ต้นทุน-ค่าแรงต่ำกว่า มีการใช้ปุ๋ย-สารเคมีน้อยกว่า และ 3. ทุเรียนตัดแก่เป็นที่ชื่นชอบตลาดจีน
ปัจจุบันล้งของดรากอน เฟรช ฟรุท ได้ศึกษาลู่ทางที่จะเข้าไปตั้งโกดังรับซื้อทุเรียนในเวียดนามเช่นกัน เพราะทุเรียนเวียดนามถูกกว่าไทยเฉลี่ย กก.ละ 100 บาท เริ่มตั้งแต่ต้นทุนการผลิตของสวนเวียดนาม ถูกกว่าไทยอยู่ที่ประมาณ 20 บาท/กก. (ต้นทุนสวนทุเรียนไทยเฉลี่ย 35-50 บาท/กก.)
ส่วนราคาที่ผู้ส่งออกซื้อทุเรียนเวียดนามได้ประมาณ 125 บาท/กก. ขณะที่ราคาทุเรียนไทยที่ผู้ส่งออกซื้อได้ประมาณ 200-220 บาท/กก. แต่ตอนนี้ปริมาณทุเรียนเวียดนามยัง “น้อยกว่า” ทุเรียนไทยมาก ประมาณ 30-50% ขณะที่พื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ปัญหาที่จะเกิดขึ้นก็คือ ช่วงที่ทุเรียนไทยออกมาชนกับทุเรียนเวียดนาม 7-8 เดือน หรือเกือบทั้งปี จะทำให้ราคาทุเรียนไทยลดต่ำลง ยกเว้น 3 เดือนช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน และเวียดนามยังไม่มีระบบการรับซื้อ ไม่แบ่งคัดเป็นเบอร์
“ทางออกทุเรียนไทยต้องทำส่วนแบ่งการตลาดด้วยคุณภาพ เพราะต่อไปยังมีประเทศฟิลิปปินส์ที่จีนกำลังจะอนุญาตให้นำเข้าทุเรียนได้แล้ว และกัมพูชาที่ขอนำเข้าเช่นเดียวกัน ราคาทุเรียนเวียดนามที่ถูกกว่าทำให้ผู้ประกอบการในไทยเล็งเปิดสาขาในเวียดนามเพิ่มขึ้น
ปัญหาสำคัญของการส่งออกทุเรียนไทยต้องเร่งแก้ไข คือ ระบบการขนส่งทางบก ที่เป็นคอขวดระหว่างประเทศที่ 3 ส่วนทางรถไฟจีน-ลาว การขนย้ายตู้คอนเทนเนอร์ข้ามแดนมีค่าใช้จ่ายสูง ที่ผ่านมามีการขนส่งทางรถไฟน้อยมาก มีเพียง 200 ตู้จากการส่งออกทั้งหมด 100,000 ตู้” นายสัญชัย กล่าว
ด้าน นางสาวปทุมวดี อิ่มทั่ว อัครราชทูตที่ปรึกษา สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำปักกิ่ง ให้ข้อมูลสถานการณ์ทุเรียนตลาดจีน หลังเวียดนามส่งออกทุเรียนไปล็อตแรกอย่างเป็นทางการว่า ถือเป็นการทดลองตลาด สร้างกระแสการตื่นตัวคึกคักมาก มีรีวิวกดโหวตเปรียบเทียบทุเรียนไทย-เวียดนาม
ดังนั้น ในอนาคตทุเรียนไทยไม่ใช่ผู้ส่งออกทุเรียนสดเพียงรายเดียวที่ได้รับอนุญาตนำเข้าจีนอีกต่อไปแล้ว และฟิลิปปินส์เป็นประเทศต่อไป ตามด้วย สปป.ลาว-กัมพูชา และยังมีทุเรียนแช่แข็งจากมาเลเซียด้วย
ดังนั้น ทุเรียนสดไทยจะต้องเผชิญกับการแข่งขันด้านซัพพลาย ส่วนแบ่งทางการตลาดจะถูกแย่งชิงไป จากที่จีนเคยนำเข้าทุเรียนไทย 95-97% ต่อไปราคาทุเรียนไทยจะถูกลง จึงต้องวางแผนล่วงหน้า ด้านการขนส่งภาครัฐ-เอกชนต้องผลักดันเร่งเปิดด่านการค้าทางบกที่ค้างอยู่ 2-3 ด่านเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะทางรถไฟจีน-ลาว และแก้ปัญหาการขนส่งคอขวดที่ด่าน
“การวางโพสิชั่นของทุเรียนไทยเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเป้าหมายกลุ่มแมสจะแข่งขันกับทุเรียนเวียดนามด้วยราคาที่ค่อนข้างถูก ถ้าทำตลาดทุเรียนพรีเมี่ยมจะเป็นโอกาสดึงส่วนแบ่งการตลาดกลุ่มบนของจีน และกลุ่มชนชั้นกลางที่พร้อมจะจ่ายถ้าสินค้าดีมีคุณภาพ จากรูปลักษณ์ภายนอกทุเรียนไทยและทุเรียนเวียดนามไม่ต่างกัน
ดังนั้น ต้องสร้างความแตกต่างของทุเรียนไทย ทำแบรนดิ้ง สร้างความน่าเชื่อถือเพื่อเพิ่มมูลค่า อาจมีการนำเสนอทุเรียนพันธุ์ใหม่ ทำ Rare Item เพิ่มจากหมอนทองที่เป็นฐาน การแปรรูปสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ป้อนตลาดจีน
สร้างคิวอาร์โค้ดให้ตรวจสอบย้อนกลับ และการทำประชาสัมพันธ์ในรูปแบบใหม่ๆ ทันสมัย ที่มีอิมแพ็กต์แรงๆ เช่น แพลตฟอร์มออนไลน์ การร่วมมือกับผู้ประกอบการทำไลฟ์สตรีมมิ่งออนไลน์ ที่มียอดผู้ติดตามจำนวนมาก
“ช่วงนี้ทุเรียนในตลาดจีนราคาสูง เพราะทุเรียนไทยมีน้อย โดยราคาทุเรียนเวียดนามช่วงต้นเดือนกันยายนก่อนที่จะมีการนำเข้าอย่างเป็นทางการ กล่องละ 650-950 หยวน ทุเรียนไทยกล่องละ 1,000-1,300 หยวน
แต่เมื่อนำเข้าทุเรียนเวียดนามอย่างเป็นทางการแล้ว ปรากฏราคาทุเรียนเวียดนามได้เพิ่มสูงขึ้นใกล้เคียงกับทุเรียนไทย เนื่องจากทุเรียนเวียดนามที่นำเข้ามีปริมาณไม่มาก อย่างตอนนี้ราคาทุเรียนเวียดนามกล่องละ 950-1,000 หยวน ทุเรียนไทย 1,000-1,100 หยวน ทำให้ผู้บริโภคจีนมีทางเลือกมากขึ้น” น.ส.ปทุมวดี กล่าว