ก่อนแยกจากกัน ผมบอกกับเขาว่า ถ้าถูกรางวัลที่ 1 จะรับเลี้ยงเขาตลอดชีวิต

ก่อนแยกจากกัน ผมบอกกับเขาว่า ถ้าถูกรางวัลที่ 1 จะรับเลี้ยงเขาตลอดชีวิต

ที่หมู่บ้านทิพวัล จะมีคนเร่ขายลอตเตอรี่มาถึงหน้าบ้านหลายเจ้า ถ้าผมจะซื้อ ผมไม่จำเป็นต้องไปซื้อที่อื่น ซื้อที่หน้าบ้านได้ แต่ส่วนมาก ผมไม่ค่อยได้ซื้อ ที่ไม่ซื้อไม่ใช่กลัวถูกรางวัล แต่กลัวไม่ถูกมากกว่า เพราะผมไม่มีดวงทางนี้

หมอดู เคยทายผมว่า ผมไม่มีลาภลอย ถ้าจะได้ลาภซึ่งหมายถึงเงินจะต้องเหนื่อย ฉะนั้น ถ้าผมจะให้ได้ลาภทางนี้มีทางเดียวเท่านั้นคือ ต้องวิ่งไปซื้อลอตเตอรี่เพื่อให้เหนื่อย

ผมก็เล่าไปสนุกๆ อย่างนั้นเอง จริงๆ แล้ว เวลาผมจะซื้อลอตเตอรี่ ถึงจะมีขายถึงหน้าบ้านหลายเจ้าก็จริง แต่ผมจะเลือกซื้อเฉพาะที่คนพิการขาย ที่รู้ว่าพิการ ก็เพราะคนขายจะครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนรถไฟฟ้า เห็นปุ๊บก็รู้ได้เลยว่า เขาต้องเป็นคนพิการ

เนื่องด้วยในเดือนสองเดือนมานี้ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลได้แก้ปัญหาหวยแพงด้วยการขายแบบดิจิทัล ส่งผลให้คนที่เร่ขายลอตเตอรี่พากันเดือดร้อนไปตามๆ กัน เพราะขายได้น้อยลง ถึงขนาดรวมตัวกันไปประท้วงถึงทำเนียบรัฐบาลเลยทีเดียว (ตามข่าว)

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา พอมีคนพิการที่มาขายลอตเตอรี่ถึงหน้าบ้าน ผมจึงถือโอกาสขอสัมภาษณ์คนขาย พร้อมกับอุดหนุนช่วยซื้อ 2 ใบด้วย

มานะ สู้ชีวิต

คนขายซึ่งมาทราบชื่อภายหลังว่าชื่อ มานะ สุจริตเจริญกุล บอกกับผมว่า

“ผมเคยขายได้งวดละ 5 เล่ม เล่มละ 100 ใบ พอกองสลากฯ ขายทางดิจิทัล ผมขายได้แค่ 2 เล่มเท่านั้น”

เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า ที่ขายได้น้อยก็เพราะเขาขายใบละ 100 บาท ขณะที่กองสลากฯ ขายแบบดิจิทัล 80 บาท ทำให้คนหันไปซื้อโดยตรงกับกองสลากฯ กันเป็นจำนวนมาก

ถ้าเขาขายในราคาเท่ากับที่กองสลากฯ ขาย ก็ได้ใบละไม่กี่บาท ยังไงก็อยู่ไม่ได้ คนซื้อที่ซื้อกับเขา ทั้งๆ ที่มีราคาแพง อาจจะเห็นว่า เขาเป็นคนพิการก็ได้ เรื่องนี้น่าจะเป็นจริง เพราะผมก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน

ถึงจะขายได้น้อยกว่าที่เคยขายได้ แต่ยังไงๆ ก็ต้องขายต่อไป เพราะคนพิการอย่างเขาไปทำงานอย่างอื่นไม่ได้แน่

โชคดี โชคดี

เมื่อผมถามถึงชีวิตส่วนตัวของเขา เขาเล่าว่า เขามีพี่น้องอยู่ 9 คน เขาเป็นคนพิการอยู่คนเดียว สาเหตุเพราะเป็นโปลิโอ มาตั้งแต่เด็ก

ตอนแรกอยู่กับพ่อแม่ ที่ซอยอุดมเดช ถนนสุขุมวิท สมุทรปราการ พอพ่อแม่จากไป จึงได้มาจับอาชีพขายลอตเตอรี่ โดยระยะแรก มีพี่น้องช่วยกันรับลอตเตอรี่มาให้ขาย ปัจจุบันอายุ 60 ปี ขายลอตเตอรี่มานานมากถึง 30 กว่าปีแล้ว

ขายลอตเตอรี่ใหม่ๆ ใช้แบบรถโยก แต่ละวันโยกเสียเหนื่อย เพราะต้องใช้มือโยก แล้วยังต้องตระเวนขายไปทั่ว เท่าที่จะไปได้ เพื่อให้ขายได้หมด เพราะถ้าเหลือจะเข้าเนื้อ

เขาบอกว่า “ตอนนี้ ดีหน่อย ใช้รถไฟฟ้าตระเวนขาย ไม่เหนื่อย เพียงกดปุ่มรถก็แล่น”

ตอนแรกผมนึกเอาเองว่าเขาคงได้รับบริจาครถไฟฟ้าจากมูลนิธิช่วยเหลือคนพิการ

แต่เขาบอกว่าถ้าจะให้ได้รถบริจาคคงต้องรอนาน เพราะคนพิการมีมาก เขาจึงเก็บเงินซื้อเอง ราคาคันละ 30,000 กว่าบาท

เขาได้ใช้รถไฟฟ้ามา 2-3 ปีแล้ว ประหยัด สะดวก และปลอดภัยด้วย เพราะค่อยๆ ขับไปช้าๆ

ตั้งแต่เขาขายลอตเตอรี่ พี่น้องทุกคนจะปล่อยให้เขาอยู่อย่างอิสระ ไม่มายุ่งเกี่ยว เขาอยู่บ้านคนเดียว ช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง อาหารการกินก็จะไปซื้อกินถึงร้านตอนตระเวนขายลอตเตอรี่

ผมถามเขาว่า บางงวดถ้าขายเหลือ เคยถูกลอตเตอรี่บ้างไหม ได้รับคำตอบว่า เคยถูกแค่เลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว ไม่เคยถูกรางวัล

“คนซื้อ อาจเลือกแต่ใบที่ถูกรางวัล แล้วเหลือที่ไม่ถูกไว้ให้ก็ได้” เขาว่า พร้อมหัวเราะเบาๆ

อย่างไรก็ตาม เขาพูดกับผมด้วยความสบายใจว่า ตอนนี้เขาได้เงินผู้สูงอายุและพิการ จากหลวงรวมแล้วเดือนละ 1,400 บาท ทำให้ได้ใช้จ่ายสะดวกขึ้น แต่ถึงอย่างไร พอได้กำไรจากการขายลอตเตอรี่ ก็จะต้องเก็บสะสมไว้ให้ได้มากที่สุดที่จะมากได้ เพราะพอมีอายุมากกว่านี้ อีกทั้งยังเป็นคนพิการอีก คงไม่มีใครมาดูแลเลี้ยงดู นอกจากเลี้ยงตัวเอง”

ก่อนที่เราจะแยกจากกัน ผมได้ซื้อลอตเตอรี่เพิ่มอีกใบ โดยผมบอกกับเขาว่า

“ถ้าผมถูกรางวัลที่ 1 จะรับเลี้ยงเขาตลอดชีวิต”

……………

 

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2565